ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี ผู้เสียสละตัวจริง ป้องเพื่อน เซฟช่อง 5 หลัง “ชิวาวา” ออกฤทธิ์
จากเหตุ"แผ่นดินไหว ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ที่นำมาสู่การขอ “ไขก๊อก” พ้นหน้าที่ของ “บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี กิติญานทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่นั้น ถ้าจะวิเคราะห์กัน นัยยะไม่ใช่แค่เรื่อง “Topnews” สำนักข่าวที่ “เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก กนก รัตน์วงศ์สกุล และพวกทิ้งทุ่นระเบิด ขอถอนตัว กรณีถูกตัดสัญญาณสั่งห้ามเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนอึดอัดคับข้องใจเก็บข้าวของกลับที่ตั้งเท่านั้น หากเป็นภาพสะท้อนทางความคิดที่ขัดแย้งกันระหว่างกองทัพบก กับรัฐบาลที่น่าขบคิด
ลองไล่เรียงย้อนหลังก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวกันสักนิดก็น่าจะได้คำตอบ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “พล.อ.รังษี” ยกทีมไปคุยกับ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย พร้อมลงนามความร่วมมือในการเสนอข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย กับยูเครน หวังจะถ่วงดุลการเสนอข่าวของสื่อในประเทศไทย ที่มักจะเสนอข่าวตามสื่ออเมริกัน และสื่อตะวันตก จนกลายเป็นเหยื่อสงครามข่าวสาร และเกิด “เฟกนิวส์” ขึ้น
แต่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกข้าง และไม่เป็นกลาง สวนทางกับนโยบายของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลที่ ประกาศต่อองค์การสหประชาชาติ ว่าจะเป็นกลาง
จนที่สุด พล.อ.รังษี ต้องแก้เกม ด้วยการไปเจรจากับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย และทำความร่วมมือในการเสนอข่าวด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง ต่อทั้งรัสเซีย และยูเครน
แต่ในระหว่างนั้น มีรายงานข่าวว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่สบายใจ กับการเสนอข่าวของ ททบ.5 ซึ่งเป็นสื่อของกองทัพบก ซึ่งก็เป็นหน่วยงานของรัฐบาล จึงมีคำสั่ง ให้ ททบ.5 งดการเสนอข่าวสงครามรัสเซียและยูเครน
ต่อมา เมื่อ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในการเสนอข่าวภาคเที่ยง ของ ททบ.5 มีการเสนอข่าวสงครามรัสเซีย และยูเครน จึงทำให้ ททบ.5 ตัดสัญญาณการออกอากาศ ทันที
จนเกิดความไม่พอใจ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา แล้วเกิดข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมข่าวใน ททบ.5 ทีมข่าว “ท็อปนิวส์” จะถอนตัวออกในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ แบบกะทันหัน สุดท้ายตามมาด้วย การลาออกของ “พล.อ.รังษี” พ้น ผอ.ททบ.5 ดังว่า
แน่นอนว่า “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานบอร์ด ททบ.5 มีคำสั่งให้ “บิ๊กตี๋” พล.อ.รังษี กิติญานทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 พ้นจากหน้าที่ โดยให้ “บิ๊กเหน่ง” พล.ท.วิสันติ สระศรีดา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ทำหน้าที่แทน ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 65 เป็นต้นไป แต่นี่ก็ต้องบอกว่าจุดเริ่มเป็นไปตาม “คำขอ” ของ “บิ๊กตี๋” เอง
ทั้งนี้ “พล.ท.วิสันติ” เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 22 ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ เช่นเดียวกับ พล.อ.รังษี โดยพล.ท.วิสันติ จะทำหน้าที่แค่ 6 เดือน และจะเกษียณตุลาคม 65
“พล.อ.รังษี” บอกว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ มีคำสั่งแต่งตั้ง ผอ.ททบ.5 คนใหม่ ไม่ใช่การปลดตัวเอง แต่เป็นเพราะตัวเองได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทหารบก เพื่อขอพ้นหน้าที่ด้วยเหตุผลส่วนตัว
“จากนี้ ผมจะไม่พูดถึงคนอื่น แต่ขอยืนยันว่า ไม่ใช่การปลดผม เราต้องแฟร์กับ ผบ.ทบ. เขานะ เพราะผมทำหนังสือขอพ้นจากหน้าที่เอง” พล.อ.รังษี ตอกย้ำ
น่าเสียดาย ที่ “พล.อ.รังษี” ไม่ได้ไปต่อ ซึ่งต้องบอกว่า ททบ.5 เสียโอกาสในการพัฒนาไปข้างหน้า เพราะว่ากันตามจริง ททบ.5 หลังได้ พล.อ.รังษี มาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงจาก “ยักษ์หลับ” ให้ฟื้นตื่นขึ้น รวมไปถึงแนวทางการให้ข้อมูลข่าวสารในฐานะสื่อ ที่เห็นพัฒนาการกันชัดขึ้น
กรณีของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็เช่นกัน ฝ่าย ททบ.5 มีจุดยืนที่ชัดเจนในการทำหน้าที่สื่อ การบาลานซ์ข้อมูล ทั้งฝั่งตะวันตก กับ รัสเซีย ประชาชน ได้ประโยชน์ในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร กับ อีกฝ่ายหนึ่ง รัฐบาลอ้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะบานปลาย ท่องคาถาประเทศไทยต้องเป็น “กลาง” โดยที่ “ลุงตู่” พูดว่า ทำไมเราต้องไปยุ่งกับความขัดแย้งของเขา
แต่ความจริงเป็นแบบไหนกันล่ะ? กลางจริงๆ หรือกลางใจใคร โดยเฉพาะการเกรงใจ อเมริกา อย่างที่มีการเปรียบเปรยของ “ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง” สนธิ ลิ้มทองกุล คนในรัฐบาลชุดนี้ ทำตัวเป็นหมา “ชิวาวา” ของอเมริกา พร้อมจะกระดิกหาง วิ่งตามนายฝั่งตะวันตกได้เสมอ ขอให้ดีดนิ้วมาเถอะ สนองไดัทันที “ลุงตู่” และคนในรัฐบาลน่าจะรู้ดี ว่า ใช่หรือไม่?
งานนี้ เมื่อ ชิวาวาออกฤทธิ์ “พล.อ.รังษี” จึงขอยุติบทบาทใน ททบ.5 ในสายตาของผู้ชม “บิ๊กตี๋” ถือเป็นผู้เสียสละตัวจริงที่ต้องชื่นชม ป้องเพื่อน ผบ.ทบ.และ เซฟช่อง 5 ไปด้วย ส่วน “ชิวาวา” จะไปตามก้นใคร ก็เอาที่สบายใจเลยลุง !!
**กรมที่ดินฟันฉับ “แม่ธนาธร” รุกป่าสงวน เพิกถอนริบคืน น.ส.3ก. 59 ฉบับ เนื้อที่ 2,111 ไร่
คดี “แม่ธนาธร” รุกป่า ที่ จ.ราชบุรี มีความคืบหน้าไปอีกขั้น หลังจากเงียบหายนานเป็นปี เมื่อ “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย กำกับดูแลกรมที่ดิน ออกมาให้ข่าวว่าภายใน 1-2 วันนี้ จะมีคำตอบที่ชัดเจน
คล้อยหลัง รมช.มหาดไทย ให้ข่าว ก็มีรายงานว่า ทางอธิบดีกรมที่ดิน มอบหมายให้ รองอธิบดีกรมที่ดิน ลงนามในคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 747/2565 ลงวันที่ 29 มี.ค. 65 เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ของ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” 59 ฉบับ เนื้อที่รวม 2,111 ไร่ เนื่องจากมีการออกเอกสารสิทธิ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้เริ่มเมื่อกรมป่าไม้ ได้รับเรื่องร้องเรียนว่า เอกสารที่ดิน น.ส.3 ก. เนื้อที่กว่า 2,100 ไร่ ในชื่อของ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” มารดาของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า รวมถึงที่ดินของ ธนาธร และ “ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ” พี่สาวของ ธนาธร บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี” อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ... รวมแล้ว “สามแม่ลูก” ครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่ากว่า 2 พันไร่
ต่อมากรมป่าไม้ ได้ทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว พบว่า มี น.ส.3 ก. อย่างน้อย 60 ฉบับ รวมเนื้อที่ 2,154 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา เข้าข่ายบุกรุกพื้นที่เขตป่าไม้ถาวร และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ...และได้แจ้งความดำเนินคดีกับ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ซึ่ง “สมพร” ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ไปตั้งแต่ต้นปี 64 โดยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี จากนั้นคดีก็เงียบหายไป
ถึงวันนี้ มีความชัดเจนว่ากรมที่ดิน ได้เพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. “สมพร” 59 ฉบับ เนื้อที่รวม 2,111 ไร่ เนื่องจาก บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนอีก 1 แปลง อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม
ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า ที่เคยมีหนังสือทวงถามถึงกรมที่ดินว่า เมื่อไรจะเพิกถอนที่ดิน น.ส.3 ก. เหล่านี้เสียที จะได้นำมาประกอบสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหา ก็เป็นอันว่ามีข้อมูลหลักฐานมัดผู้ต้องหาแล้ว
ทั้งนี้ การดำเนินคดีอาญากับ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” นั้น ทางกรมป่าไม้ได้ส่งสำนวนไปยัง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม เป็นคดีอาญา เลขที่ 4-6/2564 ทว่า เมื่อปลายเดือน ธ.ค. 64 พนักงานสอบสวน บก.ปทส. มีความเห็นไปยังอัยการ สั่งไม่ฟ้อง “สมพรกับพวก” ทำให้กรมป่าไม้ ทำหนังสือถึงอัยการจังหวัดราชบุรี เห็นแย้งความเห็นพนักงานสอบสวนดังกล่าว โดยขอให้อัยการดำเนินการฟ้องคดีนี้ ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการจังหวัดราชบุรี
เมื่อมีหลักฐานใหม่เช่นนี้ เชื่อว่า อัยการจังหวัดราชบุรี คงพิจารณาสั่งฟ้องคดีในไม่ช้า
อย่างไรก็ดี สำหรับคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ทั้ง 59 แปลงนั้น ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง หากผู้มีส่วนได้เสียประสงค์จะอุทธรณ์ หรือโต้แย้งคำสั่งนี้ ให้ยื่นอุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมที่ดิน ณ กรมที่ดิน ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
นอกจากนี้ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ยังถูกกล่าวหาอีก 1 คดี จากกรมป่าไม้ โดยมีการส่งเรื่องไปยัง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับ “สมพร” ในฐานความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีการยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการค้า ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ปปง. พ.ศ. 2542 มาตรา 3(15) ในการถือครองที่ดิน น.ส.2 จำนวน 7 แปลง เนื้อที่ 250 ไร่ และ ภ.บ.ท.5 จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 90 ไร่ รวม 8 แปลง เนื้อที่ 440 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ปัจจุบันเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ปปง.
กรณีการรุกที่ป่า ใน จ.ราชบุรี ของ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” กับกรณีของ “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ถูกเปิดเผยในเวลาไล่เลี่ยกัน ...แต่คดีรุกป่าของ “เอ๋ ปารีณา” คืบหน้าไปเร็วกว่า โดยเจ้าหน้าที่ยึดที่ดินฟาร์มไก่ ในพื้นที่ป่าของ น.ส.ปารีณา ไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนคดีของ “สมพร” เมื่อกรมที่ดินเพิกถอน เอกสารสิทธิ น.ส.3ก.แล้ว หลังจากนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องลุ้นระทึก!!