การส่งไม้ของระบอบทักษิณมายังลูกสาวคนเล็กของทักษิณนั้น สะท้อนการสืบทอดอำนาจของครอบครัวชินวัตรอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทำให้คนแก่หัวหงอกหัวดำในพรรคต้องค้อมหัวกับลูกสาวของนายใหญ่ นี่เป็นด้านหนึ่งของเผด็จการพรรคที่ซ่อนอยู่ในภาพของประชาธิปไตย
ถ้าย้อนกลับไปวันที่เริ่มเล่นการเมือง ในฐานะเศรษฐีที่ร่ำรวยมาจากสัมปทานผูกขาด ใครก็คาดหวังว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืนอย่างทักษิณนั้น จะมีวิสัยทัศน์ที่จะนำพาชาติไทยให้ก้าวไกลไปข้างหน้าได้ ในวันที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานคดีซุกหุ้นใครต่อใครก็เอาใจช่วยทักษิณกันทั้งนั้น เพราะคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ “ตาดูดาวเท้าติดดิน” แล้วเข้ามาเล่นการเมืองนั้นไม่ได้มีมากนัก
ทักษิณจึงเป็นของใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดานักการเมือง ดังนั้นคนจำนวนมากจึงฝากความหวังไว้กับเขา
แม้ทักษิณจะกวาดต้อนนักการเมืองเสือสิงห์กระทิงแรดเข้ามาเป็นลูกพรรคก็คิดว่านี่เป็นทางลัดที่ทำให้พรรคเติบใหญ่ แต่อีกด้านเขาก็ระดมคนเดือนตุลาซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ และเป็นผู้มีอุดมการณ์อันแรงกล้าเข้ามาเป็นมันสมองข้างกาย ทำให้เชื่อกันว่าทักษิณจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจสภาพโครงสร้างของสังคม เข้าใจปัญหาของชนชั้น และนำความกินดีอยู่ดีมาสู่ประชาชนได้
ก็ต้องชมว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของทักษิณประสบความสำเร็จในการทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงนโยบายของรัฐ ทำให้คนพูดกันว่าเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ และทำให้เขากลายเป็นที่รักของคนรากหญ้าจำนวนมาก เพราะเขาทำตัวแตกต่างกับนักการเมืองคนอื่น ที่เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วก็ปล่อยให้กลไกของบ้านเมืองดำเนินไปที่มีแต่ถ่างห่างให้เกิดช่องว่างระหว่างคนกับอำนาจรัฐ แต่ทักษิณเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและปฏิรูประบบราชการใหม่หมด
ดูเหมือนทักษิณจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอำนาจที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะนอกจากสามารถซื้อใจคนรากหญ้าได้แล้ว เขายังมองเห็นช่องทางที่ทำให้ธุรกิจของตัวเองก่อนเขามาเล่นการเมืองสามารถประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดได้ด้วย จนนำมาสู่คำที่เรียกผลประโยชน์ทับซ้อนและทุจริตเชิงนโยบาย
ตอนนั้นทักษิณทำการโอนหุ้นแสร้งซื้อขายไปมาอย่างซับซ้อนกับคนในครอบครัวภรรยาและลูก ก่อนจะขายหุ้นทั้งหมดให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร์ มีการประกาศใช้บังคับ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) 2549 เพื่อขยายสัดส่วนการถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมของต่างประเทศ จากเดิมไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 50% ก่อนการขายหุ้นชินคอร์ปไม่กี่วัน และซื้อขายโอนหุ้นชินคอร์ปของคนในตระกูลชินวัตร ในราคาต่ำกว่าตลาด ซึ่งทั้งหมดถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของทักษิณ และพวกพ้อง
นอกจากนั้นทักษิณได้ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 สมัย โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว รวม 5 กรณี คือ 1. ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 หมื่นล้านบาท 2. ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัท เอไอเอส หลังปรับลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์ระบบเติมเงิน หรือพรีเพด 3. ได้รับประโยชน์จากการแก้สัญญาให้รัฐร่วมรับผิดชอบค่าใช้เครือข่ายร่วมกับเอไอเอส ทำให้ ทศท และ กสท ได้รับความเสียหาย 4.การสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ปและไทยคม และ 5. สั่งให้เอ็กซิมแบงก์อนุมัติเงินกู้ให้พม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์บริษัทไทยคม และชินคอร์ป
ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งยึดทรัพย์ทักษิณ โดยชี้ให้เห็นว่า คุณหญิงพจมานอดีตภรรยา มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจและการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับทักษิณที่เป็นนายกรัฐมนตรีตลอดมา โดยผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปมาจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และให้ยึดทรัพย์โดยอิงราคาหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2544 ซึ่งเป็นวันที่ทักษิณเป็นนายกฯ บวกดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 46,373,687,454.74 บาท
แต่คนที่รักทักษิณไม่เชื่อว่าที่ศาลตัดสินให้ทักษิณมีความผิดและยึดทรัพย์จำนวนมากนั้น เพราะทักษิณมีความผิดจริงแต่ถูกอำนาจรัฐในขณะนั้นกลั่นแกล้ง หรือแม้ว่าทักษิณจะทุจริตจริงแต่ก็ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์ด้วย แตกต่างกับนักการเมืองในอดีตที่กินอิฐหินปูนทราย แต่ประโยชน์ไม่ได้ตกกับชาวบ้าน ทักษิณจึงยังครองใจชาวบ้านได้จำนวนมาก
ดังนั้นแม้หลังจากทักษิณหลบหนีไปไม่อยู่ในประเทศแล้ว แต่พรรคการเมืองของเขายังคงอยู่ ในการเลือกตั้งทุกครั้งพรรคของเขายังคงชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก และสามารถจัดตั้งรัฐบาลและตั้งนายกรัฐมนตรีนอมินีของเขาถึง 3 คน คือ สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย และยิ่งลักษณ์ น้องสาว
ทักษิณพูดหลายครั้งว่าจะวางมือไม่ยุ่งกับการเมืองแล้ว แต่เป็นที่รู้กันว่า ทักษิณยังสั่งการและเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านพรรคการเมืองของเขา และเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงภายในพรรค แม้ว่านักวิชาการที่นิยมระบอบทักษิณจะสถาปนาให้ฝ่ายของทักษิณเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ไม่มีประชาธิปไตยในพรรคของทักษิณ
ไม่แปลกหรอกที่ทักษิณพูดถึงแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่เคยเป็นลูกน้องในพรรคและต่อสู้เคียงข้างกันมาโดยเปรียบเหมือนกับหมาที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ ถ้าคนในพรรคคนไหนที่เอาใจออกห่างก็คงมีสถานะที่ไม่แตกต่างไปจากแรมโบ้ คนในพรรคของทักษิณจึงว่านอนสอนง่าย เพราะทักษิณสามารถชี้เป็นชี้ตายว่าจะให้ลงสมัครหรือไม่ก็ได้
เมื่อเขาเคยผลักดันน้องเขยและน้องสาวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ทักษิณย่อมมองเห็นว่า เขาจะผลักดันคนอื่นขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม เพราะพรรคการเมืองนี้เป็นพรรคของเขา เป็นพรรคที่เขาลงทุนลงแรงสร้างมันขึ้นมา ดังนั้นคนที่ทักษิณมองว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็คือลูกสาวคนเล็กของเขาคือ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งน่าจะเป็นคนที่มีดีเอ็นเอของพ่อมากที่สุดในบรรดาลูกๆ 3 คน
แน่นอนเมื่อทักษิณบัญชาย่อมไม่มีคนในพรรคคนไหนกล้าหือฮือ เพราะนี่เป็นประกาศิตจากนายใหญ่ของพรรค ต่อให้คนคนนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาแค่ไหน มีประวัติการต่อสู้ทางการเมืองมาเพียงใด และยืนเคียงข้างกับทักษิณมาแค่ไหน ก็ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติที่ดีไปกว่าลูกสาวของตัวเอง เราจึงเห็นพวกเขาค้อมหัวให้กับอุ๊งอิ๊งในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
สำหรับทักษิณแล้วเขามองว่า นี่เป็นช่วงที่ประจวบเหมาะที่สุด เพราะอำนาจรัฐของฝ่ายตรงข้ามกำลังอยู่ในช่วงขาลง คนเริ่มเบื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วเกือบ 8 ปี ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์กำลังถูกสั่นคลอนจากคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปแต่ซ่อนเป้าหมายที่แท้จริงไว้มากกว่านั้น
ทักษิณจึงกล้าที่จะเอาลูกสาวคนเล็กมาเป็นเดิมพัน เพราะว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุด ที่จะต่อรองกับผู้มีอำนาจในประเทศนี้หากไม่เช่นนั้นแล้วก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น และนี่อาจเป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายของทักษิณ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan