ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ถ้าจะให้ “เข้ากับบรรยากาศ” สงสัยคงต้องขออนุญาตไปนำเอาบทกลอน บทกวี ของอาจารย์ “เรืองอุไร กุศลาสัย” ที่ถอดความ แปลความ จากบทกวีของอภิมหาคีตกวีชาวอินเดีย ท่าน “รพินทรนาถ ฐากุร” ในเรื่อง “To the Buddha” มาใช้เป็นตัว “เกริ่นนำ” เอาไว้ ณ ที่นี้ โดยเฉพาะสำหรับวรรคที่ว่าไว้ว่า... “อนิจจาโลกา ณ ครานี้-ช่างเหลือที่ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง-ทรมาพยาบาทอาฆาตชัง-กระทบกระทั่งขัดแย้งระแวงใจ-ช่างทารุณกรุ่นกรึงด้วยขึ้งโกรธ-ไม่สิ้นสุดหฤโหดหรือไฉน-วิถีทางโลกาน่าเศร้าใจ-ด้วยบ่วงใยคิดคดกบฏกัน ฯลฯ ฯลฯ....”
คืออะไรมันจะโกลาหลอลหม่าน ชุลมุนชุลเก เละตุ้มเป๊ะ ไปได้ถึงปานนั้น!!! สำหรับการบุกประเทศเล็กๆ อย่างยูเครนโดยกองทัพหมีขาวรัสเซีย ที่ต่างก็เป็น “ชาวสลาฟ” ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็ด้วยเหตุเพราะ “บ่วงใยแห่งการคิดคดกบฏกัน” ของแต่ละประเทศนั่นแหละ เลยทำให้อดีตประเทศที่เคยอยู่ร่วมกันในฐานะประเทศเดียวกัน เมื่อครั้ง “สหภาพโซเวียต” แม้ไม่ถึงกับมีความสำคัญต่อโลกทั้งโลกมากมายสักเท่าไหร่ แต่ทุกวันนี้...ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญแห่งความพินาศฉิบหาย หรือความ “ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง” อันเนื่องมาจากความพยายาม “แซงชั่นรัสเซีย” ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย โดยเฉพาะมาตรการล่าสุดที่ได้ถูกประกาศเมื่อช่วงอังคาร (8 มี.ค.) ที่ผ่านมา นั่นคือ...การสั่งห้ามซื้อ-ห้ามขาย ห้ามนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด...
ราคาน้ำมันที่พุ่งระเบิดเถิดเทิงทะลุเพดาน ทะลุหลังคาไปแล้วถึง 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล...ก็เลยน่าจะมีโอกาสพุ่งขึ้นไปถึงอวกาศ หรือพุ่งทะลุ 300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังที่รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย “นายAlexander Novax” ท่านได้เตือนๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้าได้ไม่ยาก ด้วยเหตุเพราะปริมาณน้ำมันจากรัสเซียที่ถูกนำมาป้อนโลก สนองความต้องการของชาวโลกในช่วงที่ผ่านมา ไม่น้อยกว่าวันละ 7 ล้านบาร์เรลเป็นอย่างน้อย ความพยายามห้ามซื้อ-ห้ามขาย ห้ามนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ใดๆ ก็แล้วแต่ ปานประดุจว่าไม่ได้มีสิ่งนี้ ไม่มีน้ำมันเหล่านี้ หรือไม่มีประเทศรัสเซียอยู่ในแผนที่โลกเอาเลยแม้แต่น้อย อันถือเป็นมาตรการลงโทษของอเมริกาและตะวันตก หลังจากที่ “ถอยกรูด” ไม่คิดจะเผชิญหน้าทางทหารกับรัสเซียแบบตรงไป-ตรงมา เลยกลายเป็นตัวก่อให้เกิด “ปัญหา” กับโลกทั้งโลก อันเนื่องมาจากราคาน้ำมัน ไปจนถึงแก๊ส ถึงถ่านหินหรือบรรดาพลังงานฟอสซิลทั้งหลาย มีแต่แพงระดับหูฉี่และหูลี่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ส่งผลให้บรรดาราคาสินค้าและการบริการต่างๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องพัวพันกับสินค้าเหล่านี้ ย่อมพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา หรือย่อมนำมาซึ่ง “ภาวะเงินเฟ้อ” แผ่ซ่าน แผ่กระจาย ครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก...
หรือพูดง่ายๆ...ปัญหาของประเทศเล็กๆ อย่างยูเครน ได้กลายเป็น “ปัญหาของโลกทั้งโลก” ไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่นักการเมืองอเมริกันและยุโรปบางประเทศ ได้ตัดสินใจเจริญรอยตามแนวทางของนักการเมืองไทย อย่างคุณน้อง “พิธา” แห่งพรรคก้าวไกล คือออกไปทาง “เบบี้” เอามากๆ เพราะการคิดที่จะปฏิเสธประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 หรืออันดับ 2 ของโลก พยายามทำเหมือนกับไม่มีประเทศที่ว่านี้อยู่ในแผนที่โลก ไปๆ-มาๆ แล้ว...ผู้ที่ต้องเจ็บ ต้องปวด ต้องรวดร้าวทรมานไม่น้อยไปกว่าชาวรัสเซีย หรือประเทศรัสเซีย ก็คงหนีไม่พ้นไปจากบรรดา “ชาวโลก” ทั้งหลายนั่นแหละทั่น!!! รวมทั้งบรรดา “ทวยไทย” ในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่แม้จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยเลย แต่พลอยต้อง “ซวยไปด้วย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
ไม่ต่างไปจากบรรดาอเมริกันชน...ที่เห็นว่าช่วงระหว่างนี้ ต้องเติมน้ำมันรถยนต์ ด้วยราคาน้ำมันประมาณ 4-6 หรือถึง 7 ดอลลาร์ต่อแกลลอนเอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนบรรดาชาวยุโรปต่างก็โหยหวนครวญคราง ในลักษณะแทบไม่ต่างอะไรไปจากกัน เมื่อเจอกับราคาแก๊สระดับ 3,900 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร โดยแม้ว่าผู้นำอเมริกันที่ยังพยายามเล่นบทเป็นผู้นำโลกหรือ “ประมุขโลก” อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ที่อาจหันมาฉีด “สเตียรอยด์” จนเกินขนาด ท่านจะออกมาพูดเอาไว้ซะหยดย้อยและหยาดเยิ้ม ประมาณว่า... “การปกป้องเสรีภาพ...จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย” แต่ก็นั่นแหละ...เพียงแค่ถ้าอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ไม่คิดจะ “เบี้ยวสัญญา” ไม่ทรยศ-หักหลัง ต่อคำมั่นสัญญาที่จะไม่ “ขยายอำนาจอิทธิพลของนาโต” เข้าไปแถวๆ ปากประตูหน้าบ้านของรัสเซีย ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันคงไม่ถึงกับต้องใช้จ่ายกันมากมายถึงขั้นนี้ แต่ในเมื่อ “เสรีภาพ” ของอเมริกา ดันตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการทรยศ-หักหลังเช่นนี้ อะไรต่อมิอะไรมันก็เลยต้องสับสนวุ่นวาย ต้อง “ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง” อย่างเท่าที่เห็นๆ กันอยู่ในทุกวันนี้...นั่นแล...
ส่วนความพยายามบรรเทาเบาบางความเดือดร้อน ไม่ว่าของชาวอเมริกัน ยุโรป หรือชาวโลกให้พอลดๆ ลงมามั่ง ประเทศผู้นำโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ยังคงออกอาการ “เบบี้” แบบเดิมๆ อีกนั่นแหละ คือไม่เพียงแต่คิดจะปลดโซ่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญอย่างอิหร่าน ด้วยการคิดกลับไปเข้าร่วม “ข้อตกลง JCPOA” ในอีกไม่นานนับจากนี้ อันอาจทำให้น้ำมันอิหร่านที่เคยถูกอเมริกาแซงชั่นมานาน พอไหลกลับเข้าสู่ตลาดได้บ้าง แต่ยังไปไกลถึงขั้นแอบส่งตัวแทนรัฐบาลอเมริกันไปเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับผู้นำประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่างเวเนซุเอลา ที่ตัวเองไล่เหยียบ ไล่กระทืบ มานับเป็นทศวรรษๆ ถึงขั้นแต่งตั้ง “ประธานาธิบดีหุ่น” ขึ้นมาเชิดแทนประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง ชนิดเล่นเอาภาวะเงินเฟ้อของประเทศนี้พุ่งขึ้นไประดับเป็นหมื่นๆเปอร์เซ็นต์ ผู้คนทุกข์ยากเวทนามาไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบปี แต่ด้วยเหตุเพราะต้องการเพียงแค่จะเอาน้ำมันจากเวเนซุเอลาเข้ามาแทนที่น้ำมันรัสเซียนั่นเอง การกระทำของรัฐบาลอเมริกันช่วงนี้...จึงเป็นไปอย่างผู้ที่ “ทวีต” ข้อความเอาไว้ในโซเชียล มีเดีย นั่นแหละว่า... “คือการไปขอร้องวิงวอน ขอน้ำมันจากเผด็จการรายหนึ่งที่เคยถูกตัวเองต่อต้านมานานแสนนาน เพื่อเอามาชดเชยกับน้ำมันที่ขาดหายไปเพราะการหันมาต่อต้านเผด็จการอีกรายหนึ่ง...”
ส่วนการไปวิงวอน ขอร้อง ประเทศที่เคยถูกตัวเองกดดันในเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” มาพอสมควร อย่างเช่นเศรษฐีน้ำมันซาอุฯ หรือยูเอเอี ให้ช่วยผลิตน้ำมันเพิ่ม เห็นว่า...แค่โทรศัพท์ไปหาผู้นำทั้งสองประเทศนี้ กลับต้องเจอกับการ “ไม่คิดจะรับสาย” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่ก็อย่างที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทั้งหลาย เขาสรุปเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า การหาอะไรมาชดเชยกับน้ำมันที่ต้องขาดหายไปจากตลาดระดับวันละ 7 ล้านบาร์เรลนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ต่างไปจากเรื่องแก๊สอีกนั่นแหละ ความพยายามตัดขาดยุโรปออกจากการพึ่งพาแก๊สรัสเซียที่มีจำนวนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่ประเทศผู้ผลิตแก๊สอันดับ 2 ในยุโรปอย่างนอร์เวย์ ยังต้องออกมาสารภาพว่าเป็นไปไม่ได้เอาเลย ที่จะหาทางผลิตเพิ่มเพื่อชดเชยกับปริมาณแก๊สจากรัสเซีย ดังนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลยมีอันต้องทะลุหลังคา ทะลุเพดาน ดังที่เห็นๆ อยู่ในทุกวันนี้...
สรุปรวมความแล้ว...บรรดาประเทศในยุโรปที่ “ไม่คิดจะด้วน” ก็ชักจะ “ไม่เห็นควรด้วย” กับมาตรการแซงชั่นของอเมริกายิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าเยอรมนี ฮังการี หรือฝรั่งเศสที่ว่ากันว่าเริ่มคิดที่จะ “ถอนตัว” ออกจาก “นาโต” ในอนาคตข้างหน้าเอาเลยถึงขั้นนั้น ขณะที่ประเทศ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ของรัสเซียอย่างจีน ก็ประกาศต่อต้านการแซงชั่นคราวนี้ อย่างชนิดเปิดเผยและตรงไป-ตรงมา และพร้อมจะให้ความคุ้มครอง ปกป้อง บริษัทธุรกิจจีนรายใดก็ตามที่อาจต้องเจอกับผลกระทบดังกล่าว ส่วนในอเมริกา...ก็ใช่ว่าบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย พร้อมที่จะเสียค่าใช้จ่ายเพื่อปกป้องเสรีภาพ อย่างที่ผู้นำประเทศได้ปลอบประโลมเอาไว้แต่อย่างใด โดยแนวโน้มที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคาดๆ กันเอาไว้ก็คือ...โอกาสที่พรรครัฐบาลอย่าง “เดโมแครต” จะมีสิทธิ์ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ภายในช่วง “เลือกตั้งกลางเทอม” ที่กำลังจะมาถึง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ส่วนจะนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย ความโกลาหลอลหม่าน ภายในประเทศอเมริกาเอง ถึงขั้นต้องเกิด “สงครามกลางเมือง” อย่างที่ใครต่อใครเคยคาดๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงต้องติดตามเอาเองก็แล้วกัน...