สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังร้อนแรงต่อเนื่อง ไม่มีท่าทีว่าจะจบลงได้ง่าย แม้ตัวแทนของทั้งสองประเทศตกลงเจรจากันบนชายแดนเบลารุส-ยูเครน รอบแรกไม่มีอะไรคืบหน้า อยู่ในสภาวะรบไปเจรจาไป ใครจะปิดเกมได้ก่อนกัน
รัสเซียรุกหนัก ส่งกำลังสารพัดปิดล้อมกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน หวังพิชิตให้ได้ในเร็ววัน เพราะถ้ายิ่งเนิ่นนาน ค่าใช้จ่ายยิ่งทวีคูณ ทั้งชีวิตทหารและการส่งเสบียงสู่แนวหน้า ฝ่ายยูเครนระดมกำลังทั้งทหารและพลเรือนพยายามยันไว้ให้ได้
ฝ่ายโลกตะวันตกตีปีก อ้างว่าผู้นำรัสเซียประเมินผิดด้านการต่อสู้ของยูเครน และความอึดของประชาชน แม้จะได้ถล่มจุดสำคัญด้านยุทธศาสตร์การทหาร คมนาคมเพื่อตัดกำลังฝ่ายยูเครน ซึ่งแสนยานุภาพการทหารเทียบไม่ได้
ผู้นำยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ป่าวร้องขอความช่วยเหลือไปทั่วโลก แรงสนับสนุนมาจากทุกทิศทางทั้งอาวุธและยุทธภัณฑ์ มีพวกอาสารบจากต่างชาติมาด้วย ชาวยูเครนอพยพออกนอกประเทศหนีตายไปมากกว่าครึ่งล้านเข้าประเทศเพื่อนบ้าน
คาดว่ายุโรปจะต้องแบกรับภาระผู้ลี้ภัยยูเครนมากถึง 7 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นสตรี เด็ก และคนชรา ผู้ชายอายุ 18-60 ปี ถูกสั่งให้เป็นกองหนุนสู้ศึก คนยูเครนคงไม่หยุดอยู่ในเพื่อนบ้านในแถบตะวันออก คงอยากไปอยู่ยุโรปตะวันตกที่ก้าวหน้ากว่า
รัสเซียกำลังถูกโดดเดี่ยว เพราะสหรัฐฯ และพันธมิตรนาโตกำลังรุมกินโต๊ะ ส่งอาวุธเข้าไปช่วยยูเครน กลุ่มประชาคมยุโรป 30 ประเทศและสหรัฐฯ เปิดสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซียเต็มที่ด้วยมาตรการคว่ำบาตร ปิดน่านฟ้า ปิดตลาดให้รัสเซียเดี้ยง
ทำให้ผู้นำรัสเซียคำราม เปิดใช้มาตรการพร้อมเต็มที่ด้านอาวุธนิวเคลียร์
ธนาคารของรัสเซียบางแห่งถูกตัดจากระบบการสื่อสารข้อมูลการเงิน ค่าเงินรัสเซียโดนโจมตีจนมูลค่าหายไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถูกปิดตลาดการเงินที่มีเงินสกุลหลักคือดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ และเยนของญี่ปุ่น ขยับตัวลำบาก
ตลาดน้ำมันดิบโดนปิดกั้น ห้ามซื้อขายเป็นดอลลาร์ เหลือแต่ก๊าซธรรมชาติ
เป็นสงครามเศรษฐกิจที่ไม่ประกาศ แต่เป็นการรุมเล่นงานรัสเซียจนแทบอยู่ในสภาพหลังพิงฝา เพราะนาโตและกลุ่มประชาคมยุโรปก็คือกลุ่มเดียวกัน ประเทศเดียวกันรับ 2 บทบาท คือเป็นทั้งสมาชิกนาโต และสมาชิกประชาคมยุโรปคืออียู
ที่ผ่านมาฝ่ายสหรัฐฯ และโลกตะวันตกเล่น 2 บทบาทเพื่อขยายอำนาจและอิทธิพลไปสู่ประเทศต่างๆ อาศัยพวกมากเข้าคุกคามด้วยพลังการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศที่อยู่โดดเดี่ยว ไม่เข้าตากลุ่มตะวันตกลำบาก
ฝ่ายสหรัฐฯ ที่เป็นผู้นำนาโตเป็นหัวหอกด้านการเมือง มีแคนาดาและอังกฤษเป็นตัวเสริม ผสมด้วยกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกและตะวันออก ตั้งป้อมปิดล้อมรัสเซีย เริ่มขยายตัวตั้งแต่ปี 1999 จนรวบรวมประเทศกลุ่มยุโรปตะวันออกได้อีก 14 ประเทศ
ทั้งๆ ที่มีสัญญาให้กับรัสเซียในปี 1990 ในช่วงรัสเซียลำบาก ระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายในปี 1991 ว่าจะไม่ขยายแนวสมาชิกนาโตไปรวมกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เคยอยู่ในสนธิสัญญาวอร์ซอ ที่รัสเซียเป็นผู้นำ
แต่สหรัฐฯ และยุโรปตะวันตกไม่รักษาคำพูด ทำให้รัสเซียอยู่อย่างโดดเดี่ยว เหลือเพียงเบลารุส จอร์เจีย และยูเครนเท่านั้น แต่รัสเซียจัดการจอร์เจียในปี 2008 เมื่อทำท่าจะอยากเข้านาโตโดยไม่ฟังคำเตือนของรัสเซียซึ่งวลาดิมีร์ ปูตินเป็นผู้นำคนใหม่
ปูตินได้เฝ้ามองการรุกคืบของโลกตะวันตกในยุคที่บอริส เยลต์ซินเป็นผู้นำต่อจากนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ ซึ่งเปิดระบบให้รัสเซียเข้าสู่การปรับโครงสร้างประเทศ
ปูตินต้องการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของรัสเซีย ยอมไม่ได้ที่จะให้นาโตขยับเข้ามาประชิดชายแดนโดยเฉพาะด้านยูเครน ซึ่งผู้นำอดีตตัวตลกอยากจะเข้าเป็นสมาชิกของประชาคมยุโรปและนาโต ซึ่งรัสเซียยอมไม่ได้ เป็นการคุกคามโดยตรง
ปูตินอยู่ในอำนาจมาแล้ว 22 ปี ต้องฟื้นฟูแสนยานุภาพด้านการทหาร พลังเศรษฐกิจโดยอาศัยการขายน้ำมันและก๊าซสร้างรายได้ 43 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ
บอกแล้วว่านาโตคือพันธมิตรด้านทหารโดยโลกตะวันตก และประชาคมยุโรปเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองกลุ่มมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ โดยรับบทเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศจี 7 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ทั้งหมดอยู่ในอียูยกเว้นญี่ปุ่น
ทั้งสองกลุ่มพยายามอ้างการส่งเสริมการเมืองระบอบประชาธิปไตยบังหน้า หาเหตุเข้าไปเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศที่ไม่ฝักใฝ่โลกตะวันตก รัฐเผด็จการที่ไม่ยอมก้มหัวให้สหรัฐฯ และพวกจะโดนเล่นงานทั้งการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนแปลง
คำอ้างประชาธิปไตยเคยใช้ในการปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิในกลุ่มประเทศอาหรับ ปฏิวัติสีส้มในยูเครนในปี 2014 ทำให้รัสเซียต้องใช้กำลังบุกยึดแหลมไครเมีย ยังมีพฤติกรรมคล้ายกันในฮ่องกง และในประเทศไทย โดยอ้างเสรีภาพ ประชาธิปไตย
โดยสภาพที่เป็นอยู่ ฝ่ายโลกตะวันตกใช้ความได้เปรียบด้านข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่ผ่านสื่อ ทั้งซีเอ็นเอ็น บีบีซี และสื่อในแต่ละประเทศในอังกฤษ และยุโรป และปิดกั้นสถานีสื่อทีวีของรัสเซียเช่นสปุตนิกและรัสเซียทูเดย์ในสหรัฐฯ และอียู
สื่อรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงผู้ชมในสหรัฐฯ และยุโรป เท่ากับเป็นการประกาศสงครามสื่อ ทั้งๆ ที่อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสารในสังคมประชาธิปไตย
ถ้าสหรัฐฯ และพันธมิตรดันหลังทำให้ปูตินเลือดเข้าตา อาวุธสำคัญที่เหลือคือการลดการผลิตและขายน้ำมันดิบ ตัดการส่งก๊าซ ทำให้ราคาสูงขึ้น สร้างภาวะขาดแคลน และอาวุธสุดท้ายคือ “นิวเคลียร์” นั่นคือจุดจบของทุกฝ่าย
ปูตินประกาศแล้วว่า “ถ้าโลกนี้ไม่ต้องการให้มีรัสเซีย ก็ไม่ควรมีโลกอีกต่อไป”