xs
xsm
sm
md
lg

พล.ต.ต.ปวีณพูดออกมาให้ชัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



กรณีที่รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล รื้อฟื้นกรณีของพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผบช.ภ. 8 ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย ในทำนองว่า พล.ต.ต.ปวีณ ต้องหนีตายเพราะเจอตอใหญ่ขบวนการค้ามนุษย์ และมีความพยายามโยงให้คนเข้าใจว่า เชื่อมโยงกับคนในราชสำนัก

ต้องย้อนว่าคดีนี้เป็นข่าวดัง เพราะตรวจสอบพบแคมป์โรฮิงญาอพยพเข้ามาตั้งบ้านพักอาศัยชั่วคราว บนเทือกเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนรอยต่อระหว่างไทยกับมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 จำนวนหลายร้อยชีวิต มีการทารุณและทรมานผู้อพยพเหล่านั้น และต่อมาพล.ต.ต.ปวีณเข้าไปทำคดีจนนำมาสู่การจับกุมจำเลยรวม 103 คน และเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลใหญ่ทั้งตำรวจ ทหาร นักการเมืองท้องถิ่น

และเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ศาลจำคุกนายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือ “โกโต้ง” อดีตนายก อบจ.สตูล 75 ปี และ พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก 27 ปี รวมไปถึงการสั่งจำคุกจำเลยคนอื่นๆ จำนวนมาก

แต่ย้อนไปก่อนที่ศาลจะพิพากษาคดี หลังทำคดีดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย พล.ต.ปวีณ จากรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.)

“ตลอดเวลากว่า 5 เดือนของผมและตำรวจทุกคนในคณะทำงานที่ร่วมกันสืบสวนสอบสวนคดี จนทำสำนวนคดีเป็นเอกสาร 2 แสนกว่าแผ่น ออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องไป 153 ราย ทุกคนทำงานอย่างยากลำบาก ไม่ได้กินนอนอย่างสบาย จริงๆ ทุกคนควรจะได้รับบำเหน็จ แต่สิ่งที่ผมได้รับคือถูกย้ายไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ซึ่งตลอดอายุการรับราชการตำรวจของผมจนขณะนี้อายุ 57 ปีแล้ว ยังไม่เคยทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อนเลย ไม่มีข้อมูลและไม่เคยทำคดีในพื้นที่นี้เลย การส่งผมลงไปทำงานในพื้นที่สามจังหวัด จึงไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับพื้นที่ตรงนั้น ตรงกันข้ามเหมือนกับส่งผมไปเสี่ยงอันตรายด้วยซ้ำ ผมเคยขออยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการโยกย้าย” พล.ต.ต.ปวีณกล่าว

พูดง่ายๆ ว่าพล.ต.ต.ปวีณ มองว่า คำสั่งนั้นคือการส่งตัวเองไปตาย เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอิทธิพลของขบวนการค้ามนุษย์ที่เชื่อว่าโยงใยกับผู้มีอำนาจหลายคน เลยแจ้งว่าจะลาออก

ในตอนนั้นพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนตัวคงไม่ต้องพูดคุยกับ พล.ต.ต.ปวีณ ก่อนการลาออกจะมีผล เพราะเจ้าตัวก็ไม่ได้เข้ามาคุยกับตนอยู่แล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากเชื่อว่า พล.ต.ต.ปวีณ พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว พร้อมย้ำว่า การโยกย้ายดังกล่าวไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือมีใบสั่งจากฝ่ายการเมือง รวมถึงเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับการจับกุม พล.ท.มนัส คงแป้น

ซึ่งในที่ประชุมสภาฯ รังสิมันต์ ได้อภิปรายย้อนถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นประธาน ก.ตร.ในช่วงนั้นว่า เป็นการสมรู้ที่รวมหัวกันหาข้ออ้างเพื่อเอาคนที่ทำกับพวกตัวเองไปตายใช่หรือไม่ และเคยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตำรวจที่ทำงานอย่างตงฉินเช่นนี้บ้างหรือไม่ ก่อนที่จะทิ้งท้ายในการอภิปรายไว้ว่า

“แท้จริงแล้วคดีนี้มีใครใหญ่กว่าพล.ท.มนัสหรือไม่ มีคนในรัฐบาลตอนนี้มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ การขัดขวางการสอบสวนของทีม พล.ต.ต.ปวีณ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพื่อตัดตอนคดีนี้หรือไม่ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ทราบสาเหตุการเสียชีวิตของ พล.ท.มนัส หรือไม่ มีคนพยายามเสนอให้พล.ต.ต.ปวีณลาออก แต่ไม่ยอมเลือกจึงต้องลี้ภัย ทุกวันนี้ได้คุ้มครองข้าราชการตงฉินแบบนี้บ้างไหม รัฐบาลแบบนี้มีค่าให้ใครไว้วางใจฝากชีวิตไว้ได้บ้าง ทำคนดีๆ ต้องลี้ภัย ทำลายล้างคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ระบอบปรสิตถ้าไม่รีบเอาออกจะกัดกินคนทำงานและประชาชนจนไม่เหลือชิ้นดี ขอให้ประชาชนเลิกสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้”

รังสิมันต์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรเท่านั้น แต่พยายามโยงให้เข้าใจว่ามีบุคคลระดับสูงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รวมไปถึงการเสียชีวิตของพล.ท.มนัสในเรือนจำที่รังสิมันต์พยายามทำให้คนเข้าใจว่าเป็นการตายที่ไม่ปกติ

รังสิมันต์ อ้างว่า ไม่กี่วันหลังจากพล.ต.ต.ปวีณยื่นใบลาออก เขาได้รับโทรศัพท์จากพลตำรวจโท ฐ. ตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในแวดวงชั้นสูง อ้างว่าเบื้องบนของเขาอีกทีหนึ่งได้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ต่อมาพล.ต.ต.ปวีณได้เรียนสายกับนายทหารใหญ่ พลเอก จ. ยืนยันอีกเสียงว่าการย้ายไปภาคใต้ไม่ต่างอะไรจากการส่งไปตาย ผลการติดต่อพูดคุยกันครั้งนั้น พล.ต.ต.ปวีณได้พบกับพลอากาศเอก ส. เสนอให้พล.ต.ต.ปวีณไปทำเรื่องถอนใบลาออกกับ ผบ.ตร.แล้วมาทำงานกับเขาแบบใบสมัครพิเศษ ที่จะส่งให้เฉพาะคนที่ถูกจับตามองและเลือกเข้าไปทำงานในหน่วยพิเศษที่สูงมากๆ ชื่อย่อหน่วยว่า สนง.นรป. 904

เมื่อคุยกันแล้ว พลอากาศเอก ส. ให้ตัวเลือกพล.ต.ต.ปวีณว่าจะทำงานกับเขา หรือจะไปดูคดีค้ามนุษย์ในสังกัดกองบัญชาการสอบสวนกลาง นอกจากนี้ ยังมีนายตำรวจระดับสูงอีกคนหนึ่งที่อยู่ในที่นัดพบด้วย คือพลตำรวจเอก จ. ซึ่งเป็นคนละคนกับ จ. ที่พูดถึงทีแรก พลตำรวจเอก จ. คนนี้ให้ตัวเลือกที่ 3 มาด้วยคือการลาออกแล้วอยู่เงียบๆ

ต่อมาพล.ต.ต.ปวีณ รู้สึกไม่ปลอดภัยจึงตัดสินใจลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย

หลังการอภิปรายของรังสิมันต์ พล.ต.ต.ปวีณ ได้ออกมายืนยันว่าเรื่องที่พรรคก้าวไกลออกมาเปิดเผยเป็นเรื่องจริง ตนเองไม่ได้สร้างเรื่องเพื่อขอลี้ภัยแต่อย่างใด ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตแบบผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ วันนี้รู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อีกครึ่งยังขาดหายไป

ดูเหมือนเจตนาของรังสิมันต์ไม่ได้มีเป้าหมายที่พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรเท่านั้น แต่ทำให้คนที่ฟังเชื่อว่า เบื้องหลังการลี้ภัยของพล.ต.ต.ปวีณนั้นสัมพันธ์กับคนที่มีฐานะใหญ่กว่านั้น และต้องการเชื่อมโยงกับราชสำนักที่เป็นเป้าหมายในการลดทอนบทบาทและสถานะของพรรคก้าวไกลที่ขานรับกับการเรียกร้องของม็อบบนถนนที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

ในขณะที่มีการเผยแพร่คำพูดของฐปณีย์ เอียดศรีไชย ซึ่งเข้าไปทำข่าวเรื่องนี้ ทำนองว่า “นักข่าวหลายคนรู้ปลาตัวใหญ่คือใคร แต่เราไม่มีหลักฐานเลยพูดอะไรมากไม่ได้” ซึ่งเป็นคำพูดที่ฟังแล้วพิกลมาก เพราะเมื่อไม่มีหลักฐานแล้วจะไปกล่าวหาใครหรือเชื่อว่าเป็นใครได้อย่างไร

แต่หากมีใครที่ใหญ่กว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับได้และเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คนที่ต้องรู้และพูดได้คือพล.ต.ต.ปวีณ ซึ่งลี้ภัยไปแล้ว ก็ออกมาพูดสิครับว่า ปลาตัวใหญ่นั้นเป็นใคร เพราะไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว มีใครอีกที่กระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้

แม้เรื่องราวของพล.ต.ต.ปวีณจะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ แต่ตอนนี้พล.ต.ต.ปวีณกำลังเป็นเครื่องมือของพรรคก้าวไกลที่เราทราบชัดเจนว่าพรรคนี้มีจุดยืนต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างไร

พล.ต.ต.ปวีณมีคุณูปการอย่างมากที่สามารถทลายขบวนการค้ามนุษย์จนมีผู้ถูกดำเนินคดีจำนวนมาก แต่ช่วยพูดออกมาให้ชัดสิครับว่ามีใครที่ใหญ่กว่านั้นแต่ยังไม่ถูกดำเนินคดี กลัวอะไรทำไมต้องลี้ภัย หรือที่แท้มีจุดมุ่งหมายเดียวกับพรรคก้าวไกล

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น