xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา...จักรวรรดิที่กำลังกลืนกินตัวเอง!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย
ขณะกำลังปั่นต้นฉบับชิ้นนี้...ยังไม่ได้ย่างเข้าสู่วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ อันเป็นวันที่บรรดานักการเมืองและสื่ออเมริกันต่างออกลักษณะอาการแบบที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียคุณ “มาเรีย ซาคาโรวา” (Maria Zakharova) เธอถึงกับ “วินิจฉัยโรค” เอาไว้ว่า ถือเป็นอาการ “ฮิสทีเรีย” ชนิดหนึ่ง คือค่อนข้างเชื่อเอามากๆ ว่ากองทัพหมีขาวรัสเซีย จะเริ่มยาตราทัพบุกเข้าสู่แผ่นดินยูเครน จะโหมกระหน่ำด้วยการทิ้งระเบิด ยิงจรวด ก่อนส่งรถถังและกองกำลังทหารจากจุดต่างๆ เพื่อยึดเอาพื้นที่บางส่วน หรือทั้งหมด ทั้งมวล ของดินแดนแห่งนี้ เอาไว้ในมือให้จงได้!!!

ดังนั้น...ก็เลยยังมิอาจสรุปได้ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น หรือเป็นเพียงแค่อาการ “ฮิสทีเรีย” ของนักการเมืองและสื่ออเมริกันล้วนๆ ที่หัวปัก-หัวปำถึงขั้นพร้อมที่จะระบุวัน ว. เวลา น. ของการบุก การโจมตีทางทหาร อันน่าจะถือเป็นความลับระดับสำคัญเอามากๆ แบบชนิดรู้ลึกเข้าไปถึงดาก ถึงลำไส้ของหมีขาว หรือของผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ว่าถ้าหากไม่คิดจะบุกยูเครนในวันพุธ ก็อาจไม่ถึงกับช้าไปกว่านั้น หรือไม่น่าจะเกินไปกว่าวันพิธีปิดฉากกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ที่กรุงปักกิ่ง ไม่เกินวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เป็นอย่างช้า...ว่าซั่น!!!

ด้วยเหตุนี้...ระหว่างที่รอคอยเสียงปืน เสียงระเบิด คงต้องขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศ ขอชี้ชวน เชิญชวน ให้ลองไปหาอ่านข้อเขียน บทความ ชิ้นหนึ่ง ที่นักคิด-นักเขียนชาวอเมริกันเอง หรืออดีตเหยี่ยวข่าวระดับ “รางวัลพูลิตเซอร์” อย่าง “นายคริส เฮดเจส” (Chris Hedges) ท่านได้ร่ายเรียงเอาไว้เมื่อวัน-สองวันนี้ ในชื่อว่า “US traditionally solves domestic political crisis by waging war” หรือประมาณว่า...อาจถือเป็น “ประเพณี” ของรัฐบาลอเมริกันหรือกองทัพอเมริกาไปแล้วก็ว่าได้ ที่จะต้องหาทางออก ทางไป หรือทางรอด จากปัญหา “วิกฤตการเมือง” ภายในประเทศตัวเอง ด้วยการดิ้นรน ทุรนทุราย เพื่อให้เกิด “สงคราม” ขึ้นมาให้จงได้ อะไรทำนองนั้น...

คือเหยี่ยวข่าวอย่าง “นายคริส เฮดเจส” รายที่ว่านี้...ต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ!!! เพราะไม่ใช่แค่เคยได้รับยกย่องเกียรติคุณ ด้วยรางวัลสำหรับสื่อมวลชน คือรางวัล “พูลิตเซอร์” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2002 เท่านั้น แต่โดย “ประสบการณ์” ของการหาข่าว ทำข่าว ท่ามกลางบรรยากาศสงครามในอเมริกากลาง ตะวันออกกลาง หรือประเทศในแถบบอลข่าน ช่วงที่เกิดการรบราฆ่าฟัน ภายในอดีตดินแดนยูโกสลาเวีย รวมทั้งอีกหลายต่อหลายประเทศ ไม่น้อยไปกว่า 50 ประเทศ อีกทั้งยังได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยดังๆ อย่างมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก โตรอนโต และพรินซ์ตัน อีกด้วยต่างหาก รวมทั้งยังมีงานเขียนด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร รวมเล่มออกมาไม่ต่ำกว่า 14 เล่ม แถมบางเล่มยังขายระเบิดเถิดเทิง ระดับ “เบสต์ เซลเลอร์” ซะอีกด้วย ฯลฯ ดังนั้น...อะไรก็ตามที่นักข่าว เหยี่ยวข่าวรายนี้ ได้พูด หรือได้เขียนเอาไว้ ย่อมไม่ได้ออกไปทาง “กลืน...แล้วค่อยพูด” อย่างที่คุณน้อง “ต๊ะ นารากร” บ้านเรา ได้ให้คำแนะนำนักข่าวรุ่นน้องไปเมื่อเร็วๆ นี้ หรือเป็นสิ่งที่ควรต้องอ่าน ควรต้องฟัง และ “ฟังแล้วให้ได้ยิน” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...

แต่ถ้าจะให้สรุปโดยคร่าวๆ เอาไว้ ณ ที่นี้...ก็อาจประมาณว่า ด้วย “ปัญหาภายใน” ของอเมริกาเอง เท่าที่ “นายคริส เฮดเจส” แกพยายามไล่เรียงให้เห็น ไม่ว่า “ปัญหาหนี้สินประเทศ” ระดับ 30 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้วในทุกวันนี้ “ปัญหาเงินเฟ้อ” ที่พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 7.5-8 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ไปจน “ปัญหาสุขภาพ” ของบรรดาผู้คนพลเมือง ที่ต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดถึงกว่า 900,000 ราย หรือ 16 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนคนตายเพราะสาเหตุดังกล่าวทั่วทั้งโลก หรือคิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรสหรัฐฯ ไปจน “ปัญหาการแกว่งไป-แกว่งมาขึ้นๆ-ลงๆ ของตลาดหุ้น” ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้เหยี่ยวข่าวรายนี้เลยเชื่อว่า ย่อมส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ หนีไม่พ้นต้องหาทางออก ทางไป และทางรอด ด้วยการหันไปสร้างความน่าเกลียด น่ากลัว น่าขนพองสยองขวัญให้กับ “ศัตรูภายนอก” อันแทบถือเป็น “ประเพณี” ของรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค-แต่ละสมัยไปแล้วก็ว่าได้...

และที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือ...ในทัศนะของเหยี่ยวข่าวรางวัลพูลิตเซอร์รายนี้ แกค่อนข้างเชื่อเอามากๆ ว่า เอาเข้าจริงๆ แล้วประเทศประชาธิปไตยอย่างอเมริกานั้น ถูกบริหารจัดการ หรือถูกปกครองโดยพรรคการเมือง “พรรคเดียว” เท่านั้นเอง ไม่ได้มีการยื้อแย่งแข่งขันระหว่างพรรคคู่แข่งหลักๆ อย่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตแต่อย่างใด เพราะทั้งสองฝ่าย สองพรรค ต่างก็มีลักษณะอาการไม่ต่างไปจาก “เป๊ปซี่กับโคล่า” อะไรประมาณนั้น คือต่างก็เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่ ดังคำพูด คำบรรยาย ที่สรุปเอาไว้ว่า... “เราอยู่ภายใต้...พรรคการเมืองแห่งรัฐ...เพียงพรรคเดียวเท่านั้น ที่มีปรัชญาแห่งความมั่นคงอันมิอาจล่วงละเมิดได้ มีพิธีกรรมอันเป็นความลับ ด้วยการอ้างถึงความพยายามปกป้องเราทั้งหลายจากปวงศัตรู ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากม่านควันที่ปิดบังสายตาสาธารณชนมาโดยตลอด ขณะบรรดาที่ปรึกษาที่อยู่รายรอบประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต นายพลเกษียณ และนักการทูต อดีตที่ปรึกษาความมั่นคง นักธุรกิจวอลล์สตรีท นักล็อบบี้ยิสต์ และกลไกราชการจากระบบบริหารในอดีต ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ไม่ต้องการให้อำนาจแห่งจักรวรรดิอันสูงสุด ถูกหน่วงเหนี่ยว หน่วงรั้ง เอาไว้เลยแม้แต่น้อย...”

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยการอาศัยมาตรฐานจากคำพูด คำจา หรือจาก “วาทะ” ของอดีตนักเทววิทยาอเมริกัน อย่าง “ไรน์โฮลด์ นีบูร์” (Reinhold Niebuhr) ที่ว่าเอาไว้ว่า... “จักรวรรดิกำลังทำลายตัวตนของมันเอง เพื่อหวังจะพิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มิอาจทำลายได้” มาใช้เป็นเหตุผล ข้ออ้าง เหยี่ยวข่าวพูลิตเซอร์รายนี้เลยค่อนข้างเชื่อเอามากๆ ว่า... “อำนาจอิทธิพลแห่งการครอบงำเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกตลอดช่วงระยะ 75 ปีที่ผ่านมาของอเมริกา มาถึงขณะนี้...ได้จบสิ้นลงไปแล้ว!!! โดยมิอาจหวนกลับมาได้อีกเลย” ด้วยเหตุเพราะ... “เราผลิตได้น้อย ส่วนใหญ่ก็หนักไปทางปืนผาหน้าไม้นั่นแหละเป็นหลัก เศรษฐกิจของเราไม่ต่างอะไรไปจากพยับแดดที่ผลิตมายาภาพแห่งความไม่แน่นอนให้กับระดับหนี้สินของชาติ เสาค้ำของพวกชนชั้นนำแห่งระบบทุนนิยมและบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ล้วนถูกสร้างขึ้นจากความว่างกลวงแห่งการสูบเลือด สูบเนื้อของผู้คนภายในประเทศ สาธารณูปโภคถูกปล่อยให้เสื่อมโทรม ทรุดโทรม สถาบันประชาธิปไตยตกอยู่ในอาการร่อแร่ๆ และไม่น้อยไปกว่าครึ่งหนึ่งของบรรดาอเมริกันชน กลายเป็นผู้ที่ต้องดิ้นรนแบบปากกัด-ตีนถีบไปวันๆ 2 พรรคการเมืองที่เปลี่ยนหน้าเข้ามาปกครองประเทศ ล้วนแล้วแต่เป็นเสมือน...หุ่น...ของผู้มีอำนาจที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง ผู้ปฏิเสธที่จะหน่วงรั้งความละโมบโลภมาก ความปรารถนาต้องการความร่ำรวยจากอุตสาหกรรมทหาร มีแต่จะหันไปเร่งเร้าให้เกิดวิกฤตยิ่งขึ้นไปอีก เพราะนั่นจะทำให้ความคลั่งไคล้ หลงใหล ในการปล้นชิงสิ่งต่างๆ กลายเป็นความชอบธรรมไปจนได้ แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ควรใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...”

นี่...ต้องเรียกว่า อะไรจะชั่ง “ประเทศ...กูมี” ไปได้ถึงปานนั้น!!! ไม่ได้เป็นอะไรที่สูงส่งวิเศษวิเสโส หรือสูงส่งชนิดน่าหลงใหล น่าปรารถนาเอาเลยแม้แต่น้อย สำหรับความเป็นประชาธิปไตย หรือความเป็นประเทศประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกาที่บรรดาเด็กแว้นซ์ เด็กเวร บ้านเรา ออกจะโหยหา ละห้อยหา และเพรียกหาซะเหลือเกิน จนต้องดาหน้าออกมา “ลงถนน” กันคราวแล้ว คราวเล่า เพราะเอาไป-เอามาแล้ว...มันก็คือประชาธิปไตยที่หนีไม่พ้นต้องตกอยู่ภายใต้ “อำนาจ” ของกลุ่มคนแค่ไม่กี่กลุ่มไม่กี่คนเท่านั้นเอง แถมยังเป็นกลุ่มคนที่ “นายคริส เฮดเจส” สรุปไว้ว่า... “พวกเขาไม่คิดที่จะฟื้นฟูระบบที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องการให้เกิดการท้าทายอำนาจทางทหารและอำนาจแห่งรัฐ เพราะพวกเขาคือส่วนหนึ่งของ...ระบบ!!! คือผู้ต้องการที่จะกลับไปอยู่ในทำเนียบขาว หรือผู้ที่หวังจะใช้ประโยชน์จากอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้น และด้วยความเป็น...โจ ไบเดน นั่นเอง จึงทำให้เขาเป็นอยู่อย่างที่กำลังเป็นๆในปัจจุบัน...” หรือเป็นประธานาธิบดีตามแบบฉบับประชาธิปไตยอเมริกา อันย่อมเป็นอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบบ้านเราอยู่แล้วแน่ๆ ดังนั้น...ใครก็ตามที่คิดลอกแบบ เลียนแบบ พึงต้องนั่งคิด นอนคิด ต้องหันไปใช้ “หัวคิด” อย่าเอาแค่ “ตีนคิด” ไปวันๆ นั่นแหละถึงจะเข้าท่า ถึงจะเหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นไปของประเทศกันจริงๆ...




กำลังโหลดความคิดเห็น