ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นธรรมชาติปลายเทอมรัฐบาล ปริมาณความเกรงใจต่อกันจะลดลง! กับอุณหภูมิพรรคร่วมรัฐบาลล่าสุด ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทย ประเด็นขยายสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ยึดเยื้อยาวนาน แต่ไม่สามารถผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สักที
เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เป็นสิบๆรอบ แต่ลงเอยด้วยการถอน หรือโรคเลื่อนจนคนทายถูกล่วงหน้า เหมือนกับช็อตล่าสุดที่ครม.ต้องลดความร้อน ด้วยการให้กระทรวงมหาดไทย ไปหาข้อมูลมาตอบคำถามของกระทรวงคมนาคมให้ได้ก่อน สรุปง่ายๆ ค้างอีกตามฟอร์ม
จุดนี้มันพอมองออกเหมือนกันว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ก็ไม่กล้าหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยบอยคอต ไม่เข้าประชุมกันทั้งพรรคเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วย
หากตัดสินใจทุบโต๊ะ เห็นชอบผลการเจรจาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกระทรวงมหาดไทย มันไม่ได้มีแค่ความเสี่ยงในแง่ของกฎหมาย แต่ “บิ๊กตู่” และพรรคภูมิใจไทยน่าจะมองหน้ากันไม่ติดสักพัก
ยื้อออกไปอีกสักสัปดาห์ สองสัปดาห์ อย่างน้อยช่วยลดอุณหภูมิภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้ระอุไปกว่านี้ เพราะเรื่องเดิม ปมพรรคหอกข้างแคร่ พรรคเศรษฐกิจไทย บ้านใหม่ของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยังอีรุงตุงนัง สั่นคลอนรัฐบาล โดยเฉพาะเกมในสภาไม่หยุด
เสี่ยงลุยไฟจะกลายเป็นการเพิ่มโจทก์ให้ตัวเอง ผลักพรรคภูมิใจไทย ให้กลายเป็นศัตรู จนศัตรูของศัตรูจะกลายเป็นมิตรแก่กัน
ตามคิวที่มีการจับภาพ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กระหนุงกระหนิงกับ “ผู้กองนัส” ในที่ประชุมสภาวันเดียวกับการประชุมครม. ที่รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยพร้อมใจกันโดดร่ม
เจอกันวันไหนไม่เจอ มาเจอวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยกระท่อนกระแท่น คิวนี้ไม่น่าจะบังเอิญ แต่น่าจะมีคนจงใจให้ใครบางคนเห็นภาพโจทก์เก่าปะหน้าโจทก์ใหม่
เป็นการตั้งใจขยี้ให้ “บิ๊กตู่”อกแตกตาย
ช็อตนี้ต้องบอกว่า พรรคภูมิใจไทยเดินแรง ตั้งแต่คิวนัดกันไม่เข้าร่วมประชุมครม. เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น เรื่อยมาถึงภาพ “เสี่ยหนูกับผู้กองนัส”
ในความเป็น “บิ๊กตู่” เห็นแล้วย่อมไม่แฮปปี้ และรู้เจตนาดีว่า ภาพนี้ต้องการจะสื่ออะไร ฉะนั้นต่อแต่นี้ไป ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทยจะมีระยะห่าง
โดยเฉพาะประโยคเด็ดของ “บิ๊กตู่” ช่วงท้ายการประชุม ครม.ที่บอกกับทุกคนที่เข้าร่วมประชุม “วันนี้ทำให้ผมรู้ว่าใครเป็นอย่างไร”
ที่ผ่านมาในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่สร้างความปั่นป่วนน้อยเมื่อเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ “บิ๊กตู่ กับ เสี่ยหนู” ดูจะมีถูกโฉลกกันเป็นพิเศษด้วยซ้ำ
แต่พอมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คงไม่สนิทใจต่อกันอีกแล้ว
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเอง หลังๆเริ่มออกลายค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในช่วงที่ “บิ๊กตู่” และพรรคพลังประชารัฐ ขาลงเต็มพิกัด ชักจะปลีกตัวออกห่าง
เรื่องไหนไม่พอใจ เลิกเล่นเกมใต้ดินกับสงครามข่าวสาร หันมาฟาดงวงฟาดงากันต่อหน้าต่อตาไปเลย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า อย่างไร “บิ๊กตู่” ก็ไม่กล้าแตะต้องพรรคภูมิใจไทยมาก ยิ่งในภาวะที่พรรคเศรษฐกิจไทยคือ หอกข้างแคร่ พร้อมจะทิ่มแทง บิ๊กตู่ ในสภาทุกเมื่อ
เพราะเสียงของพรรคภูมิใจไทยร่วม 60 เสียง มีความสำคัญกับรัฐบาล หากหายไปย่อมอยู่ไม่ได้แน่นอน ต่อให้ “บิ๊กตู่”จะไม่พอใจ แต่ก็ต้องเก็บกด อดกลั้นไว้ เพื่อคำนึงภาพรวม
เอาแค่พรรคภูมิใจไทยหายไปสัก 20 คน องค์ประชุมสภาก็ล่มไม่เป็นท่าแล้ว
นาทีนี้พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในสถานะเป็นต่อกว่าเมื่อก่อน มีอำนาจต่อรองในมือมหาศาล เป็นจังหวะที่โขกสับได้ทุกเรื่อง
ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าบอยคอต ให้รัฐบาลเสียหน้า
ปฏิเสธไม่ได้ว่า สภาพ“บิ๊กตู่”ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าโหน เพราะเป็นของบอบช้ำทางการเมือง ใครหน้ามืดตามัวไปกอด รังแต่จะตายไปตามกัน
พรรคภูมิใจไทยอ่านเกมแล้วว่า “บิ๊กตู่”ไปต่อยาก รอดสมัยนี้ไปได้ สมัยหน้าก็กลับมาลำบาก เพราะกระแสไม่ได้เปรี้ยงปร้างเหมือนแต่ก่อน
ค่อยๆ ถอยห่างมาทีละนิด
ซึ่งเป็นแบบนี้กันมาทุกยุค ทุกรัฐบาล ช่วงปลายเทอมรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลจะฉีกตัวออกห่าง ความเกรงใจจะน้อยลง เพราะมันเป็นช่วงเวลานับถอยหลังแยกย้าย
หากมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ จะใส่กันต่อหน้า เพราะถือว่า ทนกันอยู่อีกไม่เท่าไหร่
เพียงแต่เรื่องระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทย คงยังไม่ถึงขั้นแตกหัก เพราะมีเงื่อนไขหลายอย่างให้ต้องเสแสร้งอยู่ร่วมกันไปก่อน
อย่างน้อยๆ กว่ากฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งจะเสร็จ ก็ช่วงปลายปี ซึ่ง “บิ๊กตู่” ยื้อไปให้ถึงแน่ มีเวลาอีกหลายเดือน อย่างไรเก็บ “บิ๊กตู่” ไว้ เพื่อให้ตัวเองยังอยู่ในอำนาจเพื่อตักตวงกระสุนดินดำเอาไว้ก่อนดีกว่า
ขณะที่ บิ๊กตู่ คงไม่กล้าทุบพรรคภูมิใจไทย เพราะตัวเองก็ง่อยเปลี้ยเสียขา สภาพพึ่งพาตนเองไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยพรรคร่วมรัฐบาล ต่อลมหายใจไปอีกสักพัก
เพียงแต่แผลที่เกิดขึ้น มันจะทำให้การทำงานของ “บิ๊กตู่” ทั้งในรัฐบาลและรัฐสภาเลือดตาแทบกระเด็นทุกเรื่อง
แต่ละเรื่องจะไม่ผ่านง่ายๆ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลจะต่อรอง ปั่นประสาท มากขึ้น เพราะรู้อยู่ว่า “บิ๊กตู่”ไม่ได้มีทางเลือกในตอนนี้
ไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะไปกดดันใครได้