xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำโสมแดงคุยโอ่โชว์พลัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์



ผู้นำเกาหลีเหนือคิม จองอึน มักจะมีเรื่องอะไรมาสร้างความประหลาดใจแก่ชาวโลกเสมอในความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านผลิตอาวุธประเภทจรวดนำวิถีข้ามทวีป ซึ่งสร้างความหวั่นวิตกไม่น้อยสำหรับประเทศที่เกาหลีเหนือมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม

ครั้งนี้ก็เช่นกันผู้นำเกาหลีเหนือคุยฟุ้งวันอังคารที่ผ่านมาว่า เกาหลีเหนือเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ และระบบขีปนาวุธล้ำสมัยซึ่งสามารถรับมือกับสหรัฐฯ ได้

ผู้นำคิมยังโอ่สำทับด้วยว่าสามารถเขย่าโลกได้ด้วยการทดสอบขีปนาวุธ และคำคุยนี้คงไม่เกินจริงเพราะผลการโชว์แสนยานุภาพสามารถพิสูจน์ได้หลายครั้ง

แต่ละครั้งสามารถเขย่าปอดของคนเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการในย่านตะวันออกไกล และมักจะมีคำขู่ทุกครั้งจากผู้นำทำเนียบขาวว่าจะมีมาตรการนั่นนี่โน่น แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือกับเกาหลีเหนือ

การทดสอบอาวุธซึ่งแต่ละครั้งได้เห็นความก้าวหน้าของเกาหลีเหนือ ได้สร้างสภาวะตึงเครียดในระดับสากล คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ถึงแม้จะได้ออกมาตรการห้ามการทดลองจรวดนำวิถีก็ตาม

ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือได้ทดสอบการยิงขีปนาวุธนำวิถี 7 ครั้งรวมทั้งจรวดแบบไฮเปอร์โซนิก ซึ่งถือว่าเหนือความคาดหมายของกลุ่มชาติตะวันตก

ในการทดสอบเหล่านั้นได้รวมถึงการยิงจรวดฮวาซอง-12 พิสัยกลาง ซึ่งสามารถไปไกลถึงพื้นที่ของสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย

คำแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือเกี่ยวกับเรื่องการทดสอบยิงจรวดนำวิถีตั้งแต่ปีใหม่ ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งและเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของเกาหลีเหนือในการป้องปรามสภาวะสงครามด้วย

คำแถลงนั้นว่า “ในสถานการณ์โลกปัจจุบันขณะที่หลายประเทศเสียเวลากับการยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เชื่อฟังสหรัฐฯ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็มีเพียงหนึ่งประเทศบนโลกใบนี้ซึ่งสามารถเขย่าโลกด้วยการยิงจรวดนำวิถีซึ่งถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ ได้”

“ในโลกนี้มีมากกว่า 200 ประเทศ แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีระเบิดไฮโดรเจน ขีปนาวุธข้ามทวีปและขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก” แถลงการณ์บอก

เมื่อกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกถามให้แสดงความเห็นถึงเรื่องนี้ก็มีคำอธิบายว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเกาหลีเหนือและยังอยากให้กลับคืนสู่โต๊ะเจรจาแต่ว่าได้รับการปฏิเสธ

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังบอกว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของโลกและความมั่นคงในการควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์

คำแถลงอ้างว่าสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ในการป้องปรามเกาหลีเหนือและป้องกันการยั่วยุหรือการใช้กำลัง รวมทั้งจำกัดระบบและโครงการผลิตอาวุธต่างๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชาวอเมริกัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องวางกำลังเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์มองว่าคำแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือทำให้แถลงการณ์ดูว่าเป็นการข่มขู่คุกคามน้อยกว่าที่เป็น แต่ก็สามารถให้เป็นที่เข้าใจว่าเกาหลีเหนือมีศักยภาพในด้านการรบถึงแม้ไม่มีท่าทีว่าอยากจะรบก็ตาม

เกาหลีเหนือได้จัดงานฉลองวันครบรอบการก่อตั้งของกองทัพวันอังคารที่ผ่านมา และเป็นวันหยุดซึ่งมักจะแสดงแสนยานุภาพของกองทัพ โดยมีขบวนพาเหรดและจรวดนำวิถีรวมถึงอาวุธอย่างอื่นดังเช่นในปีที่ผ่านมา

แต่ในปีนี้ไม่มีรายงานว่าจะมีขบวนโชว์แสนยานุภาพ เพียงแต่บอกว่าบรรดานายทหารระดับแกนนำได้ไปคารวะหลุมศพของผู้นำประเทศและมีรายการอื่นๆ

เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ได้แสดงออกถึงความกังวลในการยิงจรวดนำวิถีฮวาซอง-12 เมื่อวันที่ 30 มกราคม และอาจจะเป็นก้าวแรกของการทดสอบการยิงจรวดข้ามทวีปติดอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป

เกาหลีเหนือนั้นไม่ได้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์หรือยิงจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปตั้งแต่ปี 2017 ฝ่ายสหรัฐฯ เรียกร้องให้เกาหลีเหนือในวันจันทร์ที่ผ่านมาให้ลดการใช้จ่ายด้านการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และจรวดนำวิถี และควรใช้งบประมาณเพื่อประชาชน

สำนักวิจัยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.แถลงวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า มีฐานทัพทหารของเกาหลีเหนือใกล้ชายแดนติดกับจีนซึ่งน่าจะเป็นจุดสำหรับทดสอบยิงจรวดนำวิถีข้ามทวีป

ความพยายามจากนานาชาติในการหว่านล้อมเกาหลีเหนือให้ยกเลิกหรือจำกัดการสะสมอาวุธเพื่อแลกกับการลดทอนมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือนั้น ไม่ได้รับความสนใจตั้งแต่ปี 2019

ผู้นำคิมของเกาหลีเหนือได้อยู่ในอำนาจมานานกว่า 10 ปีซึ่งเหนือความคาดหมายว่าการเป็นผู้นำรัฐเผด็จการตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น ทำให้ถูกมองว่าคิมจะอยู่ได้อีกนานเมื่อควบคุมสถานการณ์และนายทหารระดับแกนนำได้

การทดสอบยิงจรวดนำวิถีและอาวุธประเภทต่างๆ เท่ากับสร้างความมั่นใจว่าคิมจะเป็นผู้นำที่เกาหลีเหนือเชื่อมั่นในความสามารถ และทำให้การเจรจากับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เป็นไปด้วยความลำบากยิ่งขึ้น

การมีอาวุธเต็มไปด้วยแสนยานุภาพเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้ผู้นำคิมมีแต้มต่อและพลังในการเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากการพบปะกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สองครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าด้านความสัมพันธ์ได้เป็นที่น่าพอใจ


กำลังโหลดความคิดเห็น