เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศ ชวนให้ลองแวะๆ ไปแถวๆ ประเทศ “เอเชียกลาง”โน่นเลย เพราะอาจมีข้อคิดสะกิดใจ หรือกระทั่งอุทาหรณ์สอนใจ เอาไว้ให้เก็บมานั่งคิด นอนคิด ได้มั่ง คือเผอิญว่า...เมื่อช่วงอาทิตย์โน้น หรือช่วงวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ประท้วงลงถนน ในประเทศ “คาซัคสถาน” ของผู้คนพลเมือง อันเนื่องมาจากราคาแก๊ส ราคาน้ำมัน ที่มันพุ่งพรวดๆพราดๆ แบบเดียวกับที่ทำให้ “สิงห์รถบรรทุก”ในบ้านเรายังคงหุดๆ หิดๆ อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...
คือเหตุที่มันดันแพง...แสน...แพง ทั้งๆ ที่การขุดเจาะ การสูบน้ำมันและแก๊สของประเทศนี้ น่าจะอุดมสมบูรณ์กว่าบ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ก็อาจเนื่องมาจากรัฐบาลคาซัคสถานช่วงนี้ เขากำลังเจอกับ “ภาวะเงินเฟ้อ”ไม่ต่างอะไรไปจากประเทศในแถบยุโรปและอเมริกานั่นเอง หรือ “เฟ้อ” ไปถึง 8.4 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น โอกาสที่จะสนับสนุนให้ราคาพลังงานต่างๆ ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเข้าไว้เหมือนเคย จึงแทบ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” หรือจำต้องเลิกให้การอุดหนุน ปล่อยให้เป็นไปหรือให้ “ลอยตัว”ไปตามราคาตลาด ส่งผลให้ราคาแก๊สที่เคยอยู่ที่ประมาณลิตรละ 0.11 ดอลลาร์ พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นมาเป็นลิตรละ 0.28 ดอลลาร์ หรือพุ่งขึ้นมาเกือบเท่าตัว เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อช่วงวันที่ 1 ม.ค. วันฉลองปีใหม่พอดิบพอดี...
ดังนั้น...ในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าสิงห์รถบรรทุกหรือไม่รถบรรทุก ต่างก็เลยตัดสินใจ “ลงถนน” ที่เมือง Zhanaozen ในแถบจังหวัด Almaty ที่อยู่แถวๆ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นอันดับแรก ต่อจากนั้น...ก็ได้ลุกลามบานปลาย ปลายบาน อย่างชนิดน่าตกตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ คือลามไปถึงกว่าครึ่งประเทศ หรือแทบทุกๆ หัวเมืองในแผนที่ประเทศคาซัคสถานเอาเลยก็ว่าได้ และไม่เพียงแต่แสดงออกถึงความโกรธ เกลียด เคียดแค้นรัฐบาลในเรื่องราคาแก๊ส ราคาน้ำมันเท่านั้น ยังถูกยกระดับ ถูกพัฒนา ให้กลายเป็นความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ในเรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน ไปจนความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินต่างๆ นานาซะอีกด้วย ถึงขั้นรื้ออนุสาวรีย์ของอดีตผู้นำประเทศรายแรก หลังจากได้รับเอกราชจากโซเวียตรัสเซีย คือ “นายNursultan Nazarbayev” ลงมานอนกลิ้ง นอนหงาย แถมงัดอาวุธประจำกาย ออกมาไล่สู้ ไล่ยิง กับบรรดา “คฝ.”หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ชนิดหนักซะยิ่งกว่าเด็กแวนซ์ เด็กเวร บ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แม้ประกาศ “กฎอัยการศึก” ในจังหวัดต่างๆ ไปบ้างแล้ว ก็ยัง “เอาไม่อยู่”เริ่มกลายเป็นการคิด “โค่นล้มบิ๊กตู่” หรือคิด “ปฏิรูปกษัตริย์” อะไรประมาณนั้น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...มันชักเลยเถิด เตลิดเปิดเปิง ไปจนคล้ายๆ กับสีสันบรรยากาศ ช่วงการ “ปฏิวัติสี”ที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มรัฐบาลประเภท “โปรรัสเซีย” ในยุโรปตะวันออก อย่างเช่นจอร์เจีย หรือยูเครน ที่ยังคงไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีจนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือคล้ายๆ เหตุการณ์ “อาหรับสปริง”ที่เคยพลิกฟ้า-คว่ำดิน บรรดาประเทศโลกอิสลาม อันเนื่องมาจากการแทรกแซงของคุณพ่ออเมริกาและบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายนั่นเอง เมื่อเจอเข้ากับสีสันบรรยากาศ ในลักษณะเช่นนี้รัฐบาลรัสเซีย ที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้า กับการ “รุกคืบ”ของคุณพ่ออเมริกาและนาโต “ละเมิดเส้นตาย” ทางยุทธศาสตร์ความมั่นคงของรัสเซียคราวแล้ว คราวเล่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศลัตเวีย ลิธัวเนีย โปแลนด์ โรมาเนีย ฯลฯ ที่ถูกดูด ถูกดึง ไปเป็นฝ่ายตะวันตกรายแล้ว รายเล่า จนมาถึงยูเครน ที่ยังหาบทสรุปไม่ได้จนบัดนี้ เลยจู่ๆ...ก็ได้รับคำขอร้อง เรียกร้อง จากผู้นำคาซัคสถาน จากประธานาธิบดี “Kassym-Jomart Tokayev” โดยประธานาธิบดีรายนี้จะคิดๆ ขึ้นมาเอง หรือฝ่ายรัสเซียช่วยกระตุ้นให้เกิดการคิดๆ ทำนองนี้ก็ตามที แต่สรุปเอาเป็นว่า...ได้ตัดสินใจขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากรัสเซีย ให้ช่วยส่งกำลังทหารเข้าไปช่วย “รักษาความสงบภายใน”ประเทศนี้เป็นการด่วน!!!
คือแม้ว่า...การช่วย “รักษาความสงบภายใน” กับการ “แทรกแซงกิจการภายใน”มันอาจฟังคล้ายๆ กันเอามากๆ ประมาณเส้นยาแดงผ่าแปด ผ่าสิบหก อะไรทำนองนั้น แต่เผอิญว่า...หลังจากประเทศสหภาพโซเวียตล่มสลาย บรรดาชาติที่แตกฉานซ่านเซ็นออกไปประมาณ 5 ประเทศ อันประกอบไปด้วยประเทศอาร์เมเนีย เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และทาจิกิสถาน ก็เกิดความเห็นพ้องต้องกัน ที่จะทำ “สนธิสัญญา” กับประเทศรัสเซีย ด้วยเหตุผลกลใดคงต้องไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน คือจะโดนกด โดนบีบ หรือโดนอะไรก็แล้วแต่ แต่โดยสนธิสัญญาที่ว่านี้ได้เปิดช่อง เปิดโอกาส ให้มีการจัดตั้งกองกำลังที่เรียกกันย่อๆ ว่า “CSTO”หรือ “The Collection Security Treaty Organization”อันมีสำนักงานที่ตั้งอยู่ที่กรุงมอสโก โดยมีประธานหมุนเวียนจากประเทศต่างๆ และมีเลขาธิการเป็นชาวรัสเซีย คอยควบคุมดูแลกองกำลังอันประกอบไปด้วยทหารจากชาติสมาชิกต่างๆ ที่พร้อมจะเข้าไป “รักษาความสงบภายใน”บรรดาชาติสมาชิกได้เสมอๆ ตราบใดที่ได้รับการร้องขอจากชาตินั้นๆ ตามข้อตกลงใน “มาตรา 4” ของสนธิสัญญาดังกล่าว...
อันนี้นี่แหละ...ที่กลายเป็นตัวช่องเปิดทาง ไม่ให้การประท้วงในประเทศคาซัคสถานขณะนี้ เกิดการลุกลามบานปลาย กลายเป็นการ “ปฏิวัติสี” เหมือนอย่างเคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศยุโรปตะวันออกบางประเทศ หรือเหมือนกับเหตุการณ์ “อาหรับสปริง”ที่แทบจะพลิกโลกอิสลามจากหน้ามือกลายเป็นหลังตีนเอาง่ายๆ เพราะความวุ่นวายในประเทศเกิดใหม่ๆ หมาดๆ อย่างคาซัคสถาน มันมีสิทธิ์ลุกลาม บานปลาย ไปถึงตลอดทั่วทั้งประเทศ “เอเชียกลาง”ที่ต่างเต็มไปด้วยความ “เปราะบาง” ทางการเมืองไม่น้อยไปกว่ากันมากมายสักเท่าไหร่ หรือเผลอๆ...อาจกระเทือนไปถึงความสัมพันธ์ในกลุ่มประเทศ “SCO”หรือ “Shanghai Cooperation Organization”ที่มีคุณพี่จีนเป็นหัวหอกได้เสมอๆ...
ดังนั้น...โดยความเห็นชอบจากประธาน “CSTO”คนปัจจุบัน คือนายกรัฐมนตรี “Nikol Pashinyan”แห่งอาร์เมเนีย ให้ตอบสนองข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีคาซัคสถาน ด้วยการจัดส่งกองกำลังทหารจำนวนถึง 2,600 นาย อันประกอบไปด้วยทหารรัสเซียเป็นหลัก โดยมีทหารเบลารุส อาร์เมเนีย คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน แซมๆ เอาไว้มั่ง บุกเข้าไป “เด็ดหัว”บรรดาผู้ประท้วงในประเทศคาซัคสถานกันถึงที่ กวาดจับบรรดาผู้ประท้วงที่ถูกถือเป็น “ผู้ก่อการร้าย”ไม่ใช่แค่ผู้ประท้วงธรรมดาๆ จำนวนถึง 3,000 คน ตายไป 26 คน บาดเจ็บ 18 คน ส่งผลให้ “ความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์” กลับคืนมาสู่ประเทศคาซัคสถานในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงกับลุกลามบานปลาย กลายเป็นการ “ปฏิวัติสี”หรือเป็น “อาหรับสปริง” ได้อย่างเรียบร้อยโรงเรียนหมีขาวหรือโรงเรียนมอสโกแบบชนิดเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด...
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นข้อคิดสะกิดใจ เป็นอุทาหรณ์สอนใจของบรรดาประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในการรับมือกับการ “ปฏิวัติสี”หรือกระบวนการ “อาหรับสปริง”ที่อาจถือเป็นการ “แทรกแซงกิจการภายใน” แบบนิ่มๆเนียนๆ เอามากๆ จนทำให้โลกอิสลามปั่นป่วนวุ่นวาย ต่อเนื่องมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ หรือทำให้บรรดาประเทศในยุโรปตะวันออกจำนวนไม่น้อย ถูกแปรสภาพให้กลายไปเป็นตัวสร้างแรงกดดันต่อประเทศรัสเซีย ทำให้เกิดการ “ละเมิดเส้นตาย” ของรัสเซีย โดยกองกำลังนาโตและคุณพ่ออเมริกาที่พยายามขยายอำนาจอิทธิพล เข้าไปในยุโรปตะวันออกยิ่งเข้าไปทุกที...
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...การต้องหันไปอาศัย “กองกำลัง” จากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเรียกขานในนาม “กองกำลังเพื่อสันติภาพ” หรือกองกำลัง “CSTO” เพื่อนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยภายในประเทศตัวเองของประธานาธิบดีคาซัคสถานคราวนี้ ย่อมหนีไม่พ้นต้องได้รับการตำหนิติติง จากบรรดาผู้ที่เชี่ยวชาญในการ “แทรกแซงกิจการภายใน” ด้วยกรรมวิธีอื่นๆ อย่างเช่น รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา “นายแอนโทนี บลิงเคน”ที่ออกมาส่งสาส์นไปถึงประธานาธิบดี “Tokayev” ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า... “ผมคิดว่าบทเรียนในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งผ่านมา ก็คือการที่มีทหารรัสเซียเข้าไปอยู่ในประเทศของคุณ แ ละบางครั้งก็ยากเอามากๆ ที่ขจัดพวกเขาออกไปได้ง่ายๆ...” จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปคิดเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือสำหรับประเทศเล็กๆ หรือ “ประเทศหญ้าแพรก”ทั้งหลาย ตราบใดที่ยังไม่สามารถสร้างพลังแห่งความสมานฉันท์ สามัคคีหรือความสงบเรียบร้อยภายในชาติบ้านเมืองขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง โอกาสที่จะต้องหันไปหา “หมีขาว”หรือไม่ก็อาจต้องตกไปเป็นเหยื่อ “อินทรี”ไม่ต่างอะไรไปจากการ “หนีเสือแล้วปะจระเข้”ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...