วันนี้...คงต้องขออนุญาตไป “อัพเดต” ฉากสถานการณ์ “แนวรบในตะวันออกกลาง” เอาไว้สักหน่อย โดยเฉพาะแนวคิดในเรื่องการเล่นงาน โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน ด้วยกำลังทหารของคุณทวดอิสราเอลทั่น!!! ที่กลายเป็นข่าวคราวสร้างความตื่นเต้ลล์ล์ล์ ฮือฮา ให้กับใครต่อใครมิใช่น้อย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล “พลเอกเบนนี แกนตซ์” (Benny Gantz) ท่านอุตส่าห์ถ่อ อุตส่าห์เดินทางไปพบปะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศอเมริกากันถึงที่ ไม่ว่าตั้งแต่รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ และที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว เพื่องานนี้โดยเฉพาะ โดยได้ผลสรุปออกมาทำนองว่า...คุณพ่ออเมริกาที่กำลังเจรจาต๊ะอวยอยู่กับคุณปู่อิหร่านในเรื่องราวดังกล่าวที่กรุงเวียนนา ท่านน่าจะ “เปิดไฟเขียว” หรือ “No Veto” หรือไม่ได้แสดงอาการคัดค้านอะไรเอาเลยแม้แต่น้อย...
เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า...การคิดจะลงมือ ลงตีน กับ “พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง” อย่างอิหร่านในช่วงระหว่างนี้ คงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการเริ่มต้นจุดชนวน “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมานั่นเอง ไม่เพียงแต่โอกาสลุกลามบานปลายไปสู่แนวรบด้านอื่นๆ ที่กำลังขมึงตึงเครียดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยังอาจส่งผลกระทบ ผลสะเทือนไปถึง “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่กำลังเล่นงานบรรดาประเทศต่างๆ โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกานั่นแหละเป็นหลัก อันเนื่องมาจากราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน ที่กำลังเป็นตัวฉุดกระชากลากถู ให้ราคาสินค้าต่างๆ พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคายิ่งเข้าไปทุกที การโจมตีประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก รวมทั้งยังมีตำแหน่งแห่งที่ทางยุทธศาสตร์ ในการสกัดกั้น ล้างผลาญและทำลายกระบวนการขนถ่ายลำเลียงพลังงานให้กับโลกเกือบครึ่งโลก ย่อมต้องก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เผลอๆ ไม่น้อยกว่าการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาด ของท่านเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เก่า-สายพันธุ์ใหม่ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
แต่เท่าที่ฟังๆ จาก “ข่าวล่า-มาเรือ” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี้...น่าจะพอถอนหายใจ พอเบาใจ ไปได้อีกเยอะ โดยเฉพาะข่าวคราวที่มาจากสำนักข่าว “Ynet” ของอิสราเอลเขา และสื่ออิสราเอลอย่าง “Jerusalem Post” นำมาขยายต่อ อันสรุปได้คร่าวๆ ประมาณว่า ด้วยความพยายามที่จะโจมตีอิหร่านด้วยกำลังทหาร อันทำให้กองทัพอากาศอิสราเอลหรือ “IAF” (Israeli Air Force) จำต้องเร่งเร้าให้รัฐบาลอเมริกัน รีบส่ง “เครื่องบินเติมน้ำมัน” ที่เรียกขานกันในนาม “Kc-46A Pegasus” ตามการสั่งซื้อของกองทัพอิสราเอล และได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาอเมริกันเมื่อเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2020 ให้กับอิสราเอลโดยด่วน อย่างน้อยแค่สัก 2 ลำก็ยังดี จากจำนวนที่สั่งซื้อไปถึง 8 ลำ มูลค่าประมาณ 2,400 ล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจากการโจมตีส่วนหนึ่ง ส่วนใด ของประเทศอิหร่านก็แล้วแต่ ที่อยู่ห่างจากพรมแดนอิสราเอลถึง 1,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 621 ไมล์นั้น หนีไม่พ้นต้องอาศัยเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศ คอยช่วยเติมน้ำมันให้กับเครื่องบินโจมตีในแต่ละเครื่อง ไม่งั้นไม่มีสิทธิ์บินกลับ หรือบินไม่ถึง อะไรทำนองนั้น...
คืออันที่จริงคุณทวดอิสราเอลท่านก็มีเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศของท่านอยู่เหมือนกัน หรือเครื่องที่ถูกดัดแปลงมาจากเครื่องบินพลเรือนอย่าง “Boeing-707” ที่เรียกว่า “Ram” แต่โดยอายุการใช้งานถึงบัดนี้ ก็ปาเข้าไปประมาณ 50-60 ปีเข้าไปแล้ว ยากต่อการปรับปรุงซ่อมแซมอยู่พอสมควร สู้หันไปสั่งซื้อเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง “Kc-46A Pegasus” ของคุณพ่ออเมริกาน่าจะเข้าท่ากว่า เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องระดับ “Boeing-767” สามารถบรรทุกน้ำมันได้ถึง 207,000 ปอนด์ หรือ “Lbs” ยังสามารถเติมน้ำมันกลางอากาศให้กับเครื่องบินต่างๆ ได้ถึง 3 เครื่องซ้อนๆ ภายในเวลาแค่ 3-4 นาทีเท่านั้นเอง หรือสามารถแจกจ่ายน้ำมันได้ถึง 1,200 แกลลอนต่อนาที อีกทั้งมีรัศมีการบินไปไกลได้ถึง 11,830 กิโลเมตร พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าได้เครื่องชนิดนี้เข้ามาใช้งาน มาประจำการได้เร็วเท่าไหร่ การโจมตี การทิ้งระเบิด ใส่หัวกบาลคุณปู่อิหร่าน ยิ่งย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
แต่จาก “ข่าวล่า-มาเรือ” ของสำนักข่าว “Ynet” ได้ระบุเอาไว้ชัดเจน...ว่าคุณพ่ออเมริกาท่านตัดสินใจ “ปฏิเสธ” คำร้องขอของกองทัพอากาศอิสราเอลในเรื่องราวดังกล่าวไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว!!! คือแม้ว่าจะ “No Veto” หรือไม่ได้แสดงอาการคัดค้านใดๆ ต่อแผนการโจมตีอิหร่านด้วยกำลังทหาร แถมยังมีข่าวคราวว่าพร้อมจะซ้อมรบ พร้อมมอบระเบิดเจาะทะลวงบาดาลอย่าง “Bunker-Buster” ให้กับ “IAF” ก็เถอะ แต่ถ้าหากไม่คิดเร่งเวลาการส่งมอบเครื่องบินเติมน้ำมันกลางอากาศ “Kc-46 Pegasus” ให้กับอิสราเอลซะอย่าง!!! การโจมตีอิหร่านโดยกองทัพอากาศอิสราเอล ย่อมมีสิทธิ์ออกอาการ “แห้วกระป๋อง” เอาง่ายๆ คืออาจบินไม่ถึง หรือบินกลับไม่ได้เอาเลยก็ไม่แน่...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้การคิดโจมตีอิหร่านด้วยกำลังทหารของคุณทวดอิสราเอล เลยลดระดับความร้อน ความแรงลงมาประมาณ 40-50 องศาเป็นอย่างน้อย คือออกไปทางเย็นๆ ชืดๆ หรือคงต้องขึ้นอยู่กับคุณพ่ออเมริกาท่านนั่นแหละว่าคิดจะให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาสักเมื่อไหร่ ตอนไหน ด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยทำให้อารมณ์-ความรู้สึกแห่งความกระเหี้ยนกระหือรือของบรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน คงแทบไม่ต่างไปจากอารมณ์-ความรู้สึกของบรรดา “กุมารจีน” อย่างชาวเกาะไต้หวันทั้งหลายเช่วงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือช่วงระหว่างการประชุม “Democracy Summit” เมื่อประมาณวันศุกร์ (10 ธ.ค.) ที่ผ่านมานั่นเอง...
คือจากที่เคยกระเหี้ยนกระหือรือ เคยรู้สึกปลื้มอก-ปลื้มใจต่อการได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวที่มีคุณพ่ออเมริกาเป็นเจ้าภาพ อันแทบไม่ต่างไปจากการออกแรงยุ แรงเชียร์ ให้บรรดากุมารจีนไต้หวันทั้งหลาย แสดงออกถึงความปรารถนาความต้องการ “ประชาธิปไตย” ยิ่งไปกว่า “ความเป็นจีน” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่ครั้น...เมื่อตัวแทนไต้หวัน อย่างคุณ “Audrey Tang” (Tang Feng) ท่านลุกขึ้นมาแสดงความเป็นประชาธิปไตย ระหว่างการประชุมแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ด้วยการเสนอภาพ “แผนที่” ประเทศจีนและเกาะไต้หวัน ที่แตกต่างไปคนละสี คล้ายๆ กับ “คนละประเทศ” อะไรทำนองนั้น ปรากฏว่า...ส่งผลให้นักประชาธิปไตยอเมริกัน ที่นั่งจ้อง นั่งดู อยู่ที่สำนักงานความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว สั่งการให้ “ตัดภาพ” ดังกล่าวออกโดยฉับพลัน-ทันที หรือให้มีแต่ “เสียง” ของคุณ “Audrey” โดยปราศจาก “ภาพ” แผนที่ดังกล่าว หรือพูดง่ายๆ ว่า...ได้ตัดสินใจ “เซ็นเซอร์” กันกลางอากาศ เพื่อไม่ให้ประเทศอเมริกาที่ยอมรับ “นโยบายจีนเดียว” อาจถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน จนกลายเป็นตัวสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ให้กับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เอาง่ายๆ...
เมื่อต้องเจอกับอาการ “ใจมด” หรือ “ใจไม่ถึง” ของคุณพ่ออเมริกาในลักษณะเช่นนี้...ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลหรือไต้หวันก็เถอะ ย่อมหนีไม่พ้นต้องลดอาการกระเหี้ยนกระหือรือลงไปมิใช่น้อย หรืออาจถึงขั้นต้องซึมๆ-เซาๆ ไม่ต่างไปจากลักษณะอาการของผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” นั่นเอง แบบเดียวกับที่บรรดาชาว “เวียดนามใต้” หรือชาว “อัฟกานิสถาน” ที่เคยทอดตัวเป็น “เครื่องมือ” ให้กับคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ต่างก็เคยเจอกับลักษณะอาการเช่นนี้มาแล้วเช่นกัน คือเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ตรงกับผลประโยชน์ หรือดันไปขัดประโยชน์ของอเมริกา ไม่ว่าในจังหวะไหน ในฉากสถานการณ์แบบไหน ก็ตามทีโอกาสที่จะถูก “ถีบทิ้ง” หรือ “ถีบหัวเรือส่ง” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะไม่ว่าจะ “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจ ซึมเซา” ก็แล้วแต่ ต่างก็ “American First” หรือต่างก็ “ตัวกู-ของกู” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง นั่นแล...