ด้วยเหตุเพราะไม่ได้มี “เฟซบุ๊ก” เหมือนอย่างใครต่อใครเขา...ดังนั้นการ “ล่ม” ของเครือข่ายสื่อสารดังกล่าว ระดับ 6 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง เมื่อช่วงวันวานที่ผ่านมา จึงไม่ได้ก่อให้เกิด “ความรู้สึก” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ส่วนจะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของเครือข่าย อย่าง “นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” ต้อง “เจ๊ง” กันไปในระดับร้อยล้าน พันล้านดอลลาร์ หรือไม่ อย่างไรนั้น ก็ขอ “อนุโมทนา” เอาไว้ ณ ที่นี้ ก็แล้วกัน...
ดังนั้น...วันนี้ ลองย้อนกลับไปดูอะไรต่อมิอะไรใน “แนวรบตะวันออกกลาง” น่าจะเหมาะกว่า เพราะช่วงระหว่างนี้ ชักทำท่าว่าน่าจะเริ่ม “พลิกโฉม” จาก “หลังตีน” มาเป็น “หน้ามือ” หรือ “หลังมือ” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะเมื่อช่วงวันจันทร์ (4 ต.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง เจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือระดับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว อันถือเป็นผู้สนองตอบนโยบายโดยตรงของประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “นายเจค ซัลลิแวน” (Jake Sullivan) เขาได้ลัดฟ้า บินตรง ไปยังราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเพื่อพบปะ เจ๊าะแจ๊ะ เจรจา กับผู้กุมอำนาจสูงสุดในดินแดนแห่งนี้ คือ มกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MbS” หรือ “Mohammed Bin Salman” รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยกลาโหมซาอุฯ “Khalid Bin Salman” ในเรื่องที่ออกจะคอขาด-บาดตาย อยู่พอสมควร นั่นคือ...การหาทางยุติสงครามที่แทบไม่มีวันจบ หรือ “สงครามเยเมน” ที่ลากยาวมาประมาณ 7 ปีเข้าไปแล้ว เมื่อนับจากปี ค.ศ. 2015 หรือนับจากช่วงที่กองกำลังซาอุฯ และพันธมิตร ตัดสินใจบุกเข้าโจมตีประเทศนี้ เป็นต้นมา...
คืออันนี้...คงต้องบอกไว้ก่อนว่า จะไปถือเป็นความเมตตา กรุณา ปรานี แบบ “หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ” ของผู้นำอเมริการายใหม่ ก็ไม่น่าจะถึง “ถูกเรื่อง” กันสักเท่าไหร่นัก อันเนื่องมาจาก “ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง” ของ “ผู้เฒ่าโจ” ในการเลือกประธานาธิบดีอเมริกันครั้งที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ท่าน “อัด” ผู้นำซาอุฯ เอาไว้เยอะ!!! จะด้วยเหตุเพราะต้องการแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างตัวเองกับคู่แข่งอย่าง “ทรัมป์บ้า” หรือเพราะ “ความเชื่อ” อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ ว่ามีแต่ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” เท่านั้น มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการต่อสู้กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน หรือรัสเซีย และหาทางฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของประเทศแม่แบบประชาธิปไตยอย่างอเมริกา ให้กลับมาเกรียงไกรได้เช่นเดิม ตามแบบฉบับ “Build Back Better” หรือ “The Great Reset” อะไรประมาณนั้น...
แต่คราวนี้...ด้วยความเป็น “ประชาธิปไตย” นั่นเอง ที่ยังไงๆ มันคงต้องมีเรื่องของ “สิทธิมนุษยชน” ติดปลายนวมมาด้วย และโดยข้อมูลและข่าวสารที่ค่อนข้างเปิดเผยเอาไว้ชัดเจน ว่าผู้นำซาอุฯ อย่างมกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” นั้น ก็คือผู้อยู่เบื้องหลัง “ฆาตกรรมหั่นศพ” อดีตคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ อย่าง “นายจามาล คาช็อคกี” (Jamal Khashoggi) เมื่อช่วงเดือนตุลาคมประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาอยู่แล้วแหงมๆ ความจำเป็นที่จะต้องแสดงออกถึงความเป็นนักประชาธิปไตย และนักสิทธิมนุษยชน จึงหนีไม่พ้นต้อง “อัด” ผู้นำซาอุฯ ให้เยอะๆ เข้าไว้ หรือต้องประกาศว่าพร้อมจะ “แค้นสวาทแล้วทวงคืน” พร้อมที่จะกดดัน เล่นงาน ทวงแค้น ทวงคืน สิทธิความเป็นมนุษย์หรือสิ่งที่ต้องสูญเสียไป ให้กับอดีตนักหนังสือพิมพ์รายนี้ ชนิดไม่อาจ “ปล่อยเลย-ตามเลย” แบบคู่แข่งทางการเมืองอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้โดยเด็ดขาด...
อันนี้นี่แหละ...ที่นอกจากจะเรียกเสียงปรบมือกราวๆ บนเวทีหาเสียงในแต่ละครั้ง แต่ละครา ยังกลายเป็น “เงื่อนไข” ให้กับบรรดาพวก “ปีกซ้าย” ในพรรคเดโมแครต ที่จะกดดันให้ผู้นำของตนหันไปเล่นงานผู้นำซาอุฯ ในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี ไม่ว่าการเลิกขายอาวุธให้กับซาอุฯ และยูเออี เอาไปถล่มพวกกบฏ “ฮูตี” ในเยเมน เลิกการสนับสนุนด้านข่าวกรองให้กับกองกำลังพันธมิตรของซาอุฯ ไปจนล่าสุด...ขณะที่พวก “ฮูตี” ส่งจรวดอิหร่าน ส่งเครื่องบินโดรน ไปถล่มหัวกบาลของซาอุฯ ในแต่ละจุดแต่ละพื้นที่ รัฐบาลอเมริกันกลับต้องตัดสินใจ “ถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศ” หรือ “แพทริออต” ออกจากดินแดนแห่งนี้ซะยังงั้น!!! การพบปะ เจรจา ระหว่าง “นายเจค ซัลลิแวน” กับเจ้าชาย “MbS” และรัฐมนตรีช่วยกลาโหมซาอุฯ ที่เป็นไปในแบบเอาจริง-เอาจัง หรือแบบ “Robust Dialogue” ตามคำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ เจ้าชาย “Faisal Bin Farhan Al Saud” คราวนี้ จึงอาจนำไปสู่การ “ยุติสงครามเยเมน” ในอีกไม่ไกล-ไม่ใกล้นับจากนี้เอาเลยก็ไม่แน่!!!
แน่นอนว่า...สิ่งเหล่านี้ ย่อมถือเป็น “ข่าวดี” ต่อโลกทั้งโลก ต่อพี่น้องชาวเยเมนผู้หิวโหยเกือบ 20 ล้านคน ที่แทบไม่มีอะไรจะรับประทานอยู่แล้วในทุกวันนี้ แต่จะส่ง “ผลดี” หรือ “ผลร้าย” ต่ออเมริกาและซาอุฯ ที่กำลังเจ๊าะแจ๊ะเจรจากันในเรื่องนี้หรือไม่? อย่างไร? และแบบไหน? อันนี้...คงต้องติดตามกันต่อ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การต้องเจอกับแรงกดดันจากอเมริกาในหลายต่อหลายเรื่องในช่วงหลังๆ ดูจะทำให้ราชอาณาจักรซาอุฯ หนีไม่พ้นต้องโผเข้าไปหาประเทศที่เคยเป็นคู่แข่ง คู่กัด คู่อาฆาต ของตัวเอง ในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด นั่นก็คือ “อิหร่าน” ที่กำลังเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับคุณพ่ออเมริกาอยู่อีกเหมือนกัน ในเรื่องการหวนกลับมาสู่ “ข้อตกลงนิวเคลียร์” หรือ “JCPOA” ที่กรุงเวียนนาแบบยังไม่แล้วเสร็จ...
การออกมาป่าวประกาศของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ เจ้าชาย “Faisal Bin Farhan” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (3 ต.ค.) ว่าได้เริ่มต้น “เจรจา” กับอิหร่านมาแล้วถึง 3 ครั้ง หรือตั้งแต่ครั้งอดีตประธานาธิบดีอิหร่านคนเก่า “Hassan Rouhani” โน่นเลย และกำลังจะเจรจากันอีกเป็นครั้งที่ 4 ที่กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ราวๆ วันที่ 21 พ.ย.เดือนหน้า เพื่อหาทางลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าระหว่างประเทศทั้งสองและภายในภูมิภาค จึงเท่ากับทำให้ภาพรวมของ “แนวรบตะวันออกกลาง” แทบทั้งมวล เปลี่ยนไปแทบจะโดยสิ้นเชิง ความอาฆาตมาดร้าย ที่ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา อิสราเอล ไปจนถึงซาอุฯ เคยมีต่อประเทศอิหร่าน มาบัดนี้...น่าจะค่อยๆ คลี่คลายลงไปตามลำดับ...
ขณะที่ความ “แค้นตาแม้น” ซึ่งประเทศเหล่านี้เคยยัดเยียดเอาไว้ให้กับอิหร่าน ก็ดูจะได้รับการ “แค้นสวาทต้องทวงคืน” ไปบ้างแล้ว เช่น บรรดาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนลอบสังหาร อดีตนายพลอิหร่าน อย่าง “พลเอกกอเซ็ม สุไลมานี” (Qassem Soleimani) เห็นว่าโดน “เด็ดหัว” กันไปแล้วเป็นรายๆ ไม่ว่า “พันโทJames C. Willis” แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์ หรือ “พันเอกSharon Asman” แห่งกองทัพอิสราเอล โดยกองกำลังที่ใช้นามว่า “The Resistance Front” เมื่อช่วงเดือน-สองเดือนที่ผ่านมา ขณะที่กองทหารอเมริกันประมาณ 2,500 นาย มีกำหนดจะต้องถอนกำลังออกจากอิรักภายในสิ้นปีนี้ และอาจนำไปสู่ “เป้าหมาย” การล้างแค้น ทวงคืน ของอิหร่าน ที่จะต้องไม่ให้เหลือทหารอเมริกันติดภูมิภาคนี้เอาไว้เลย ก็อาจเป็นไปได้ในวันหนึ่ง-วันใดก็ไม่แน่!!!
ส่วนการจะอาศัย “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” เป็น “เครื่องมือ” ในการเอาชนะมหาอำนาจคู่แข่ง และฟื้นฟูประเทศอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ เกรียงไกรอีกครั้ง จะเป็นไปได้มาก-น้อยเพียงใด??? อันนี้...อาจต้องรอดูการประชุมสุดยอดประเทศประชาธิปไตย หรือ “Democracy Summit” ที่ “ผู้เฒ่าโจ” ท่านกำลังเตรียมๆ อยู่ในช่วงระหว่างนี้ หรือการประชุมที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ท่านถือว่าเป็นความพยายามประกาศ “สงครามเย็นยุคใหม่” อะไรทำนองนั้น แต่ถ้าดูจากสภาวะแวดล้อมโดยทั่วไป มันคงไม่ถึงกับ “ร้อน” มากมายสักเท่าไหร่ หรือน่าจะ “เย็น” กว่าเมื่อช่วงอดีตหลายต่อหลายเท่า เนื่องจากความเป็น “ประชาธิปไตย” ในอเมริกาทุกวันนี้ คงต้องยอมรับว่า...มันออกจะ “เสื่อม” ไปพร้อมๆ กับความเป็น “จักรวรรดินิยม” ของอเมริกาเขานั่นแหละ เพราะถ้าหากคิดจะเป็นประชาธิปไตยกันแบบจริงๆ จังๆ แล้วเผลอๆ...อาจต้อง “แยกประเทศ” หรือ “แยกดินแดน” ออกเป็น 5-6 ประเทศ หรือ 11 ประเทศ เอาเลยก็ไม่แน่...