xs
xsm
sm
md
lg

นายพลอเมริกัน ร่วมใจต้านการยึดอำนาจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ
ลักษณะพิเศษในการผ่องถ่ายอำนาจบริหารประเทศสหรัฐฯ คือ การถ่ายโอนอำนาจอย่างสงบ ผ่านการเลือกตั้งที่ขาวสะอาด หมายถึงฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้ง จะไม่มีการตอแยบิดพลิ้ว และก่อกวนไม่ยอมลงจากอำนาจ โดยผู้แพ้จะถึงกับยอมโทรศัพท์ไปยอมแพ้และแสดงความยินดีกับฝ่ายชนะ ซึ่งกลายเป็นทำเนียมปฏิบัติมาช้านาน

ถ้าฝ่ายใดสงสัยในคะแนนเลือกตั้ง ก็จะต้องรีบให้มีการนับคะแนนใหม่ ซึ่งมักจะทำให้ได้ทราบผลอย่างรวดเร็ว และจบการเลือกตั้งไปด้วยดีเสมอมา

แม้แต่ครั้งที่รอง ปธน.อัล กอร์ สงสัยในการนับคะแนนที่ฟลอริดาในการเลือกตั้งปี 2000 ก็ได้มีการขอให้นับคะแนนอีกครั้ง ใช้เวลา 1 เดือนเต็ม จนในที่สุดยังนับคะแนนใหม่ไม่ครบทุกเขตของฟลอริดา อัล กอร์ ก็เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะยกหูโทรศัพท์ไปยอมแพ้ต่อคู่แข่งบุช เพื่อจบความอีหลักอีเหลื่อที่ยังประกาศผลการเลือกตั้งไม่ได้เสียที ทำให้ด่างพร้อยต่อประเพณีการส่งผ่านอำนาจบริหาร, ที่ไม่ควรสร้างความไม่แน่นอนและความไม่เชื่อมั่นต่อประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ทั้งๆ ที่อัล กอร์ ได้คะแนน Popular Votes มากกว่าบุชเสียอีก และการนับคะแนนรอบ 2 ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

ซึ่งคำถามก็ยังมีค้างคาคนอเมริกันจำนวนมาก ที่เชื่อว่า อัล กอร์ ไม่ได้แพ้การเลือกตั้งครั้งนั้น ต่อการที่อัล กอร์ โทรศัพท์ไปยอมแพ้ก่อน ก็ทำให้ประชาธิปไตยแบบอเมริกันเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น

แต่การเลือกตั้ง ปธน.ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 2019 ท่ามกลางความแตกแยกรุนแรงของประชาชนอเมริกันมาตลอดปี 2018 ถึง 2019 ทำให้คะแนนที่รวบรวมตามรัฐต่างๆ ไม่สามารถประกาศชัยผู้ชนะได้ โดยเฉพาะรัฐที่เป็นสมรภูมิเดือดซึ่งเคยให้คะแนนแก่ทรัมป์ (ชนะฮิลลารี) ในการเลือกตั้งปี 2016 เช่น มิชิแกน, เพนซิลเวเนีย, จอร์เจีย, เนวาดา เป็นต้น กลับถูกปธน.ทรัมป์คัดค้านผลการเลือกตั้ง และฟ้องต่อศาลให้นับคะแนนใหม่

ซึ่งก็มีการนับคะแนนใหม่หลายรัฐ และบางรัฐนับแล้วนับอีกเป็น 2-3 ครั้งด้วยซ้ำ และในที่สุด ไบเดนก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะในรัฐต่างๆ จนได้คะแนน Electoral Votes อย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ชนะขาดลอย

ทรัมป์ก็ได้แต่ฟาดงวงฟาดงา และออกมาประกาศว่า เขาถูกโกงการเลือกตั้ง เขาให้ทนายของเขาคือ อดีตนายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก รูดี้ จูลีอานี ฟ้องไปตามรัฐต่างๆ ว่า ทรัมป์ถูกโกงการเลือกตั้ง ซึ่งศาลก็ได้ทำการยกฟ้องเพราะหลักฐานเลื่อนลอยมาก

ฝ่ายสาวกของทรัมป์ ส่วนใหญ่เป็นพวกบูชาผิวขาว และกลัวว่าคนผิวดำหรือน้ำตาลหรือเหลือง กำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจเหนือคนผิวขาว (ที่เคยเป็นชนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ)

โดยเฉพาะสัญญาณเตือนพวกผิวขาวว่ากำลังจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ ก็คือการได้ปธน.ผิวดำคนแรกได้แก่ โอบามา นั่นเอง

ทรัมป์ได้ยุยงปลุกปั่นให้มีการชุมนุมใหญ่หน้าทำเนียบขาว เพื่อเดินขบวนของเหล่าสาวกผิวขาว (เป็นระดับล่างหรือจากชนบทเป็นส่วนใหญ่) ในวันที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่สภาคองเกรสจะรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของเหล่า Electoral College โดยมีรอง ปธน.ไมค์ เพนซ์ เป็นประธานการขานคะแนนอย่างเป็นทางการ

เหตุการณ์จลาจลบุกอาคารรัฐสภาจากฝ่ายสาวกบ้าคลั่งของทรัมป์ ที่เริ่มจากหน้าทำเนียบขาว (ที่ทรัมป์ได้หลอกว่า เขาจะร่วมเดินขบวนด้วย...แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ร่วมขบวน) ไปปีนป่ายฝ่าแนวต้านของตำรวจรัฐสภา จนทะลวงเข้าไปถึงห้องประชุมสภาที่กำลังทำพิธีขานคะแนน...โดยตะโกนเรียกหาตัวไมค์ เพนซ์ (ที่หลบหนีออกมาทางลับได้อย่างหวุดหวิด) ว่าเป็นผู้ทรยศ (ต่อทรัมป์, ต่อประเทศชาติ) ที่ไม่ยอมปฏิเสธหรือประกาศว่า คะแนนของ Electoral College นั้นเป็นโมฆะ เพราะมีการโกงคะแนนเลือกตั้ง (ตามที่ทรัมป์ได้ปลุกปั่นม็อบของเขาให้เชื่อสนิทใจเช่นนั้น)...ถึงขนาดตั้งเวทีจะแขวนคอเพนซ์ไว้ที่หน้าอาคารรัฐสภา!

เป็นเวลากว่า 4 ชม.แห่งการจลาจล ทั้งภายในและภายนอกอาคารรัฐสภา จน 6 โมงเย็น ทรัมป์ที่ (แอบ) ยืนชมผลงานปลุกปั่นของเขาอยู่ที่ทำเนียบขาว จึงทนการรบเร้าของฝ่าย ส.ส., ส.ว.ของคนของพรรคตัวเอง ถึงได้แจ้งให้ทหารพิทักษ์ดินแดน (National Guards) พร้อมอาวุธครบมือ เดินทางมาควบคุมสถานการณ์ และทรัมป์ได้ประกาศให้เหล่าฝูงม็อบที่บ้าคลั่งนี้ให้กลับไปบ้านได้แล้ว

ในดึกวันที่ 6 มกราคมนั่นเอง เพนซ์และเหล่า ส.ส., ส.ว.จึงได้กลับมาที่สภาอีกครั้ง เพื่อขานคะแนนของ Electoral College ต่อจนจบ และประกาศเป็นทางการให้ไบเดนชนะเลือกตั้ง

เหตุการณ์ระหว่างวันที่ 6 ถึง 20 มกราฯ (ซึ่งเป็นวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ปธน.คนใหม่) คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวที่น่าระทึกใจ ว่ากำลังเกิดความอ่อนไหวที่อเมริกาอาจเกิดการรัฐประหารขึ้น เพื่อไม่ให้ไบเดนสามารถสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46!

โดยหนังสือที่กำลังขายดิบขายดีในสหรัฐฯ ในอาทิตย์นี้ เขียนโดยผู้สื่อข่าวของวอชิงตัน โพสต์ (ระดับเคยได้รับรางวัลพูลิตเซอร์มาแล้ว) 2 คนคือ Carol Leonnig และ Philip Rucker ชื่อ “I Alone Can Fix It” เขียนขึ้นหลังสัมภาษณ์ ผบ.สส.พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ถึง 2 ชม. และสัมภาษณ์ (พร้อม Tape) เหล่าลูกน้องของ ผบ.สส.ตลอดจนผู้ร่วมงานและผู้เกี่ยวข้องถึง 150 คน จึงได้ภาพชัดถึงความปั่นป่วนในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานใน 14 วัน (จาก 6 มกราฯ-20 มกราฯ) ที่สถานการณ์ใกล้หลอมละลายจนอาจเกิดการรัฐประหารรวบอำนาจ เพื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และทำให้การเลือกตั้ง ปธน.เป็นโมฆะ เพื่อทรัมป์จะได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปในสภาวะฉุกเฉิน

หนังสือได้บรรยายถึงบทบาทสำคัญของ ผบ.สส. (หรือตำแหน่งทางการคือ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม-ประกอบด้วย ผบ.จากกองทัพบก, เรือ, อากาศ, นาวิกโยธิน) ที่ได้มีโอกาสพูดโทรศัพท์เตือนจากเพื่อน (ที่ไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นใคร แต่น่าจะเป็นอดีต ผบ.หรืออดีต รมต.กลาโหม!) คนหนึ่งว่า เหตุการณ์จลาจลบุกยึดสภา เป็นปฐมบทเพื่อเปิดทางให้ทรัมป์นำกฎหมายปราบจลาจลมาใช้ เพราะทรัมป์คือจอมทัพ (Commander in Chief) และสามารถสั่ง ผบ.สส.และผบ.ทุกเหล่าทัพให้นำกำลังออกมาปราบการจลาจล และอาจถึงประกาศกฎอัยการศึก

นั่นคือ ล้มการเลือกตั้ง และรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่ออยู่ในตำแหน่ง ปธน.ที่ทำเนียบขาวอีกต่อไปจนกว่าอาจจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่

ช่วงระทึกนี้ พล.อ.มิลลีย์ ได้ติดต่อกับ ผบ.เหล่าทัพอย่างใกล้ชิด และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะไม่ยอมแพ้การเลือกตั้ง จะเลือกการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จแทน

พล.อ.มิลลีย์ บอกกับเหล่า ผบ.ว่า นี่เป็นชั่วโมงแบบฮิตเลอร์! ที่สร้างสถานการณ์ให้เกิดเผารัฐสภาเยอรมนี แล้วพวกเชิ้ตสีน้ำตาล (เหล่ากองกำลังนาซีที่เป็นกองกำลังของฮิตเลอร์) จะออกมากดดันให้กองทัพแห่งชาติ ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อปราบจลาจล โดยฮิตเลอร์ก็ถือโอกาสรวบอำนาจเบ็ดเสร็จได้สำเร็จ และยุบสภาอย่างสมบูรณ์

ผบ.สส.ได้ตกลงกับ ผบ.เหล่าทัพว่า ถ้าทรัมป์ออกคำสั่งให้นำกำลังออกมาปราบกบฏจลาจลที่สภา และจะประกาศภาวะฉุกเฉิน...ตัวพล.อ.มิลลีย์ เอง จะไม่ยอมทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม และเหล่า ผบ.ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน โดยจะไม่ยอมลาออก แต่จะสู้จนถูกไล่ออก และเหล่า ผบ.ก็ได้ตกลงเช่นนี้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยของอเมริกา

ต่อมา ผบ.สส.พล.อ.มิลลีย์ ได้สั่งกองกำลังให้เข้าอารักขาอาคารรัฐสภาอย่างเข้มแข็ง จนกระทั่งถึงวันสาบานตนของไบเดน โดยประกาศว่า จะต้องไม่ให้ “พวกนาซี” มาทำลายรัฐสภาของเรา

พอจบพิธีสาบานตน (ที่ทรัมป์แหวกประเพณี... ไม่ยอมเข้าร่วมพิธี) ทำให้พล.อ.มิลลีย์ “ยิ้ม” ได้อย่างโล่งอก แม้จะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ก็ตาม... เพราะได้ทำหน้าที่ทหารสมบูรณ์แบบในการพิทักษ์ประชาธิปไตยในการส่งผ่านอำนาจบริหารอย่างสงบสันติ


กำลังโหลดความคิดเห็น