เป็นการออกมาประกาศอย่างเป็นทางการอย่างแจ่มชัดของไมค์ เพนซ์ ถึงจุดยืนที่แตกต่างระหว่างตัวเขาเอง และอดีตประธานาธิบดีคนที่ 45 โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นการเริ่มปูทางสำหรับให้ชาวรีพับลิกันเลือกเขาให้เป็นตัวแทนพรรคในการลงแข่งขันตำแหน่งปธน. ในปี 2024
นับเป็นการปราศรัยครั้งแรกของไมค์ เพนซ์ หลังจากลงจากตำแหน่ง และหลังจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีการบุกทำลายอาคารรัฐสภา ในวันที่ 6 มกราคมปีนี้ของฝูงชนบ้าคลั่งติดอาวุธฝ่ายนิยมทรัมป์ ที่ต้องการบิดเบือน และขัดขวางขบวนการนับคะแนน (อย่างเป็นทางการ) ของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ต่อหน้า ส.ส.และ ส.ว. โดยมีประธานการนับคะแนนคือ รองปธน.เพนซ์ในฐานะประธานวุฒิสภา
เพนซ์ได้เลือกการประกาศจุดยืนของเขา ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ห้องสมุดปธน.โรนัลด์ เรแกน ที่เมือง Simi Valley, รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันพฤหัสฯ ที่ 24 มิถุนายนที่เพิ่งผ่านมา อันเป็นสุนทรพจน์ที่เฉียบคม และตักเตือนเหล่าชาวพรรครีพับลิกัน ให้ตระหนักถึงการดำรงรักษาคุณค่าวิถีอเมริกันที่ยึดมั่นในการเลือกตั้งที่จะได้ผู้นำหรือในการตัดสินปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง
เพนซ์พูดอย่างยืดอกว่า เขาจะภูมิใจตลอดไปต่อบทบาทของเขา, ที่ได้ยอมรับผลการเลือกตั้ง (ปธน.) ในการลงคะแนน (จาก Electoral College) เมื่อวันที่ 6 มกราคม หลังจากเกิดการจลาจลขั้นเสียชีวิตที่เหล่าผู้สนับสนุนทรัมป์ได้บุกเข้ารัฐสภา
เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า “รัฐธรรมนูญอเมริกันไม่ได้ให้อำนาจใดๆ ต่อรองปธน. ที่จะปฏิเสธคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ...หรือส่งคืนคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง กลับไปยังสภาอีกครั้งหนึ่ง”
คำกล่าวของเพนซ์ครั้งนี้คือ คำพูดที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของทรัมป์ในวันที่ 6 มกราคม ที่ทรัมป์ได้ตระเตรียมนัดแนะให้ฝูงชนที่เห็นด้วยกับทรัมป์ให้มาชุมนุมที่หน้าทำเนียบขาว โดยทรัมป์จะเดินนำขบวนเหล่าสาวกของเขาเพื่อไปกดดันรัฐสภา ขณะที่สภากำลังมีพิธีกรรมตามระเบียบวาระ (ของรัฐธรรมนูญ) เพื่อทยอยขานรับผลการลงคะแนนของแต่ละรัฐในการเลือกปธน.
การปลุกระดมของปธน.ตั้งแต่บ่ายโมงวันที่ 6 มกราฯ ที่หน้าทำเนียบขาว ท่ามกลางฝูงชนที่บ้าคลั่งไคล้ทรัมป์ และพร้อมเดินขบวนไปกดดันการขานคะแนนที่รัฐสภา เพื่อให้รองปธน.เพนซ์ ปฏิเสธคะแนนของแต่ละรัฐ โดยให้ประกาศว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส (มีการโกงการเลือกตั้ง) และให้ลงคะแนนกลับไปที่รัฐสภา เพื่อให้จัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่
คำพูดปลุกปั่นของปธน.ทรัมป์ที่เร่าร้อน และเอาน้ำมันราดไปยังอารมณ์ฝูงม็อบที่พร้อมเข้าทำลายพิธีรับรองคะแนนที่สภา-โดยทรัมป์พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า รองปธน.เพนซ์จะ “ต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง” (Do the Right Thing) ด้วยการปฏิเสธผลคะแนนเลือกตั้งที่เกิดขึ้นนั่นเอง
เพนซ์ย้ำว่า “ผมเข้าใจรู้ซึ้งอย่างยิ่งต่อคนที่ผิดหวังในผลคะแนนการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เพราะผมเองก็เป็นผู้ที่ถูกเลือกตั้งเช่นกัน...แต่เราต้องตระหนักถึงความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่าการพ่ายแพ้ของพรรคของเรา...นั่นคือ ถ้าเราสูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐธรรมนูญ ไม่เพียงแต่เราจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง แต่ประเทศชาติของเราก็จะพ่ายแพ้ไปด้วยนั่นเอง!”
เพนซ์ไม่ได้เอ่ยชื่อทรัมป์แม้สักน้อย แต่เขาได้พูดประโยควรรคทองว่า “มีบางคนในพรรคของเราที่เชื่อว่า คนเพียงคนเดียวจะสามารถตัดสินเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งปธน.ได้... ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ตรงข้ามกับวิถีอเมริกันอย่างสิ้นเชิง”
นั่นคือ ทรัมป์จะเป็นคนที่ร้องตะโกนตลอดเวลาทุกสถานที่ว่า เขาถูกโกงการเลือกตั้ง... เป็นการทำแบบ “น้ำหยดลงหิน...หินยังกร่อน” ด้วยการพูดซ้ำๆ จนทำให้มีผู้หลงเชื่ออย่างจริงจัง ถึงกับเต็มใจจับอาวุธมาบุกทำลายรัฐสภา เพื่อปกป้องทรัมป์จากการถูกโกงการเลือกตั้ง
หมายถึงการบิดเบือนจากคนเพียงคนเดียว เพื่อให้จัดการเลือกตั้งใหม่
นั่นหมายถึงความแตกต่างระหว่างวิถีอเมริกันที่เคารพการเลือกตั้ง กับระบอบเผด็จการอำนาจนิยมซึ่งคนเพียงคนเดียว สามารถบงการในการแต่งตั้งผู้บริหารประเทศ หรือแต่งตั้ง ส.ส., ส.ว.เข้ามานั่งเต็มสภาได้
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็เหมาให้เพนซ์เป็น “แพะ” รับบาป เป็นคนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลคะแนนเลือกตั้งได้ โดยแค่พลิกฝ่ามือ...แค่ปฏิเสธคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง
เนื้อหาอีกบางส่วนของสุนทรพจน์ครั้งสำคัญของเพนซ์ ก็พยายามฉกฉวยเอาความสำเร็จในการบริหารเศรษฐกิจในรัฐบาลทรัมป์-เพนซ์ โดยเขามีบทบาทในการบริหารด้วย
และแน่นอนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายบริหารของปธน.ไบเดนในเรื่อง การปล่อยให้ผู้อพยพเข้าเมืองจำนวนมาก, การเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายอย่างมากมาย, การลดงบของตำรวจ รวมทั้งการบรรจุในหลักสูตรนักเรียนให้เรียนรู้ทฤษฎีเหยียดผิวในสังคมอเมริกันว่าน่ารังเกียจ และบิดเบือนประวัติศาสตร์ เป็นต้น
เป็นการเน้นตอกย้ำของอดีตรองปธน.เพนซ์ ว่า วิถีอเมริกันจะต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง (ที่โปร่งใส) โดยฝ่ายที่ชนะจะได้คะแนนเสียงข้างมากนั่นเอง