xs
xsm
sm
md
lg

ชัยชนะของเชื้อไวรัสโควิด-19

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ไปๆ-มาๆ...ดูเหมือนว่าความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ความเก่งกาจ เฉลียวฉลาด ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ในการปรับเนื้อ ปรับตัว วิวัฒนาการ กลายพันธุ์ ในการโจมตีเล่นงานบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย จะทำให้บางประเทศ บางสังคม ชักเริ่มออกอาการ “ถอดใจ” กันไปมั่งแล้ว สำหรับความคิดที่จะเอาชนะ ความคิดที่จะขจัดกวาดล้าง เชื้อไวรัสชนิดนี้ให้หายเกลี้ยงไปจากโลกให้จงได้!!!

คือขนาดประเทศอิสราเอล...ที่ได้ชื่อว่า “เขี้ยว” เอามากๆ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 คืออาศัยความมั่งคั่งร่ำรวย จากสตุ้งสตางค์ของบรรดานักธุรกิจชาวยิว จากเงินช่วยเหลือโดยภาษีอากรของราษฎรอเมริกัน หรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ รวมทั้งอาศัยความเชี่ยวชาญ เชี่ยวกราก ในการ “ล็อบบี้” ใครต่อใครในแวดวงอำนาจระดับโลก กระทำการกว้านซื้อ “วัคซีน” ระดับที่เชื่อๆ กันว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด อย่าง “Pfizer” ของอเมริกา เอาไว้ชนิดล้นเหลือ ล้นสต๊อก โดยถ้าหากทำท่าว่าอาจ “หมดอายุ” ขึ้นมาเมื่อไหร่ ค่อยหันไปบริจาคให้พวกชาวปาเลสไตน์อีกที หรือเอาไปแลกเปลี่ยนกับโควตาวัคซีน ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ฯลฯ

แต่สุดท้าย...แม้ว่าจะเขี้ยวแสนเขี้ยว สามารถระดมฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิดให้กับลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน ไปได้แล้วถึงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงไปชนิดแทบไม่เหลือติดประเทศ สามารถถอดหน้ากากสูดลมหายใจเข้าปอดได้อย่างเต็มเม็ด เต็มสูบ สามารถชิทๆ แชทๆ พ่นละอองเรณูเกสรใส่กันและกัน โดยไม่ต้องเสียเวลาเว้นระยะห่างแต่อย่างใด แต่เมื่อช่วงวันจันทร์ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมานี้นี่เอง กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล ก็ชักต้องออกอาการหูแหก-ตาแหกขึ้นมาอีกครั้งจนได้ เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศ ดันหวนกลับไปสู่ระดับ 2,766 รายต่อวัน อันเนื่องมาจากผลการศึกษาและวิจัย ที่ชี้ให้เห็นว่าวัคซีนที่เชื่อว่าที่ดีที่สุด ทรงประสิทธิภาพที่สุด อย่าง “Pfizer” นั้น เอาไป-เอามาแล้วกลับเกิดการ “ลดระดับภูมิคุ้มกัน” จาก 91.2-97 เปอร์เซ็นต์ ลงไปเหลือแค่ 64 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โดยเฉพาะเมื่อเจอกับการ “กลายพันธุ์” ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือเจอกับ “สายพันธุ์เดลตา” ที่แพร่ระบาดจากอินตะระเดีย นั่นแล...

คือสุดท้าย...อะไรที่เคยเชื่อๆ ว่าน่าจะรอดแล้ว ปลอดภัยแล้ว กลับชักทำท่าว่าอาจไม่รอด ไม่ปลอดภัย ขึ้นมาซะอีก ไม่ว่าจะอาศัยความเขี้ยว ความเกล็ดแตกลายงา ในการรับมือกับเชื้อไวรัสตัวนี้ในระดับไหนก็ตาม ไม่ต่างไปจากประเทศที่ได้ชื่อว่าเขี้ยวแสนเขี้ยวอีกประเทศหนึ่ง นั่นคือสิงคโปร์ อภิมหานายหน้าแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่เฮานั่นเอง ที่อาศัยความมั่งคั่งร่ำรวย มีเงิน-มีทอง ออกระดมฉีด ระดมตรวจ สืบหา เสาะหา บรรดาผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ที่มีจำนวนแค่กระหยิบมือในประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ กันอย่างอุตลุด ชุลมุน ถึงขั้นไหน แต่สุดท้าย...ก็ต้องหันมาเปลี่ยนวิธีรับมือกับเชื้อไวรัสตัวนี้ ด้วยการ “เปลี่ยนวิธีคิด” หรืออาจเรียกว่า “เปลี่ยนปรัชญา” อันเนื่องมาจากการหนีไม่พ้นที่จะต้องเกี่ยวข้อง พัวพัน กับเชื้อไวรัสดังกล่าว กันแทนที่...

เรียกว่า...แทนที่จะกลัวโน่น กลัวนี่ เหมือนก่อนๆ ต้องตรวจเช็ก ตรวจนับ จำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน ต้องตระเตรียมเครื่องไม้ เครื่องมือ ในการเยียวยา รักษาพยาบาล เอาไว้ก่อนล่วงหน้า แต่กลับหันมาเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว บรรดาชาวสิงคโปเรียนกันแทนที่ ให้เกิดความคิด ความรู้สึก ว่าเชื้อโรคชนิดนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ไข้หวัดธรรมดาๆ” นั่นเอง ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ไม่ยาก โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้รับฉีดวัคซีน เข็มสอง เข็มสาม ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านตัวเองก็น่าจะได้ ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่ง แข่งขัน เร่หาเตียงพยาบาล จากโรงพยาบาลต่างๆ และแม้แต่ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก ต้องเว้นระยะห่าง สามารถผ่อนคลายมาตรการป้องกันทางสังคมต่างๆ แล้วหันไประมัดระวังตัวกันเอาเอง หรือหันไปหาทาง “เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสตัวนี้” ให้จงได้...

ไม่ต่างไปจากบรรดา “ผู้ดีอังกฤษ” ที่ติดเชื้อสูงชนิดระดับถือเป็น 1 ใน 5 ของโลกมาโดยตลอด และทุกวันนี้ก็ยังคงติดเชื้อนับเป็นหมื่นๆ รายในแต่ละวัน หรือปาเข้าไประดับ 20,000 กว่าคนเมื่อช่วงวันจันทร์ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับสายพันธุ์ “เดลตา” ของอินตะระเดีย ไหลเข้าไปผสมผสานกับสายพันธุ์อังกฤษ ชนิดงอมๆ แงมๆ ไปทั้งประเทศ แต่ท้ายที่สุด...หลังจากระดมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับพวกผู้ดีอังกฤษไปได้แล้ว 85 เปอร์เซ็นต์ เข็มสอง 63 เปอร์เซ็นต์ ผู้นำประเทศอย่างท่านนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ก็ได้ฤกษ์ ได้เวลา ออกมาป่าวประกาศว่ากำลังคิดจะ “ยกเลิก” มาตรการคุมเข้มในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าการสวมหน้ากาก-ไม่สวมหน้ากาก การเว้นระยะห่างที่เคยห้ามไม่ให้ใครต่อใครรวมตัวกันเกิน 6 คน ห้ามรวมตัวกันในงานศพ งานแต่งงาน อีกทั้งเตรียมจะเปิดคลับ เปิดบาร์ เปิดภัตตาคาร ให้สามารถดื่มกิน ชิทๆ แชทๆ กันได้โดยเสรี ภายในช่วงวันที่ 19 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ชนิดถือเป็นวัน “Freedom Day” เอาเลยถึงขั้นนั้น แม้ว่าภาวะติดเชื้อของบรรดาผู้ดีอังกฤษในวันนั้น อาจเพิ่มจำนวนไปถึง 50,000 รายก็ตาม..

เพราะอย่างที่รัฐมนตรีกระทรวงเคหะและชุมชนของอังกฤษ “นายโรเบิร์ต เจนริค” (Robert Jenrick) ได้ออกมาบอกกล่าวอธิบายเอาไว้กับสำนักข่าว “BBC” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (4 ก.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “เรากำลังเคลื่อนย้ายไปสู่ความเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากการเรียนรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสตัวนี้ นั่นคือเราจะต้องหมั่นระมัดระวังตัวเองในทางส่วนตัว และถือเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว มากกว่าการที่จะอาศัยมาตรการคำสั่งจากรัฐอีกต่อไป...” หรือถ้าจะแปลอังกฤษเป็นไทย แปลไทยเป็นไทย ก็อาจถือเป็น “เรื่องของ...มึง!!!” ที่จะต้องไปรับผิดชอบกันเอง นั่นเอง...

อาจด้วยเหตุเพราะโอกาสที่จะ “เอาอยู่” สำหรับเชื้อไวรัสตัวนี้...นับวันมันออกจะเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะโดยที่มา-ที่ไป ที่ยังหาข้อพิสูจน์ ข้อสรุป ไม่ได้ถนัดชัดเจน ไม่ว่าจะโดยการกลายพันธุ์ การปรับตัว ปรับสภาพ ที่ออกจะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าการควบคุม ป้องกัน ด้วยการประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” ในแต่ละชนิด แต่ละตัว ของบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ... “ความร่วมมือ-ร่วมใจ” ในระดับทั่วทั้งโลก ที่มันไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่ได้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล อย่างเท่าที่ควรจะเป็น แต่กลับเต็มไปด้วยการแข่งขัน เอาแพ้-เอาชนะ ไปจนถึง “เอากำไร” หรือเอารัด-เอาเปรียบระหว่างกันและกัน ระหว่างประเทศรวยกับประเทศจน ระหว่างประเทศโลกเหนือกับโลกใต้ หรือระหว่างประเทศที่อ้างความเป็น “ประชาธิปไตย” และพยายามเอาชนะประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการ” อย่างชนิดไม่คิดจะลดราวาศอก จนกระทั่งตราบเท่าทุกวันนี้...ฯลฯ ฯลฯ....

อะไรต่อมิอะไรต่างๆ เหล่านี้นี่เอง...ที่มันเลยทำให้การรับมือกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ หนีไม่พ้นต้องกลายเป็น “ความรับผิดชอบส่วนตัว” แทนที่จะเป็นตัวสะท้อน “ประสิทธิภาพของรัฐ” ในการรับมือกับภาวะดังกล่าว ว่าเหมาะ-ไม่เหมาะ ถูก-ไม่ถูก ควร-ไม่ควร หรือไม่? อย่างไร? ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อบรรดา “รัฐเผด็จการ” ทั้งหลาย กลับสามารถอวดโชว์ แสดงประสิทธิภาพในการรับมือกับการเอาชนะเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลเอามากๆ ขณะที่ “รัฐประชาธิปไตย” แต่ละราย กลับเต็มไปด้วยการประท้วง การแสดงออกถึงความไม่พออก-พอใจ ต่อการลิดรอน การล่วงละเมิดเสรีภาพในทางส่วนตัว ของผู้คนในสังคมตัวเอง แบบหาจุดจบ หาข้อยุติ หาจุดลงตัว แทบไม่ได้ โดยเฉพาะระหว่างการ “ป่วยตาย” กับการ “อดตาย” การหันมาเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนปรัชญา ในการรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นนี้ จึงอาจถือได้ว่าเป็น “ชัยชนะของเชื้อโควิด” ไม่ใช่ชัยชนะของมวลมนุษย์ทั้งหลาย ที่หนีไม่พ้นต้องเลี่ยงไปปรับตัว ปรับสภาพ เพื่อให้สามารถ “อยู่ร่วม” กับเชื้อไวรัสดังกล่าวให้จงได้นั่นเอง...




กำลังโหลดความคิดเห็น