ช่วงระหว่างนี้...ไม่ว่าจะ “บ้านเรา-บ้านเขา” หรือโลกทั้งโลกนั่นแหละ คงต้องยอมรับว่า ออกจะร้อนฉิบหาย-ร้อนตายโหง ระดับตับแลบ ม้ามแลบ เอาเลยทีเดียวเจียว เฉพาะแค่เจอกับท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 เท่านั้น...ก็ตายแล้ว!!! นี่ยังต้องมาเจอกับความร้อนระดับเปรี้ยงๆ ปร้างๆ เข้าไปซะอีกต่างหาก อะไรต่อมิอะไรมันเลยช่างทรมาน ทรกรรม ซะเหลือเกิน และคงหนีไม่พ้นต้องหยิบเอาเรื่องความร้อน มาพูดจา ว่ากล่าว ให้เป็นเรื่อง-เป็นราว ขึ้นมามั่ง...
อย่างที่อดีตพรรคพวก เพื่อนฝูง “ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล” (ผู้แอบไปเป็นด็อกเตอร์ตอนไหนก็มิอาจทราบได้) ท่านได้ออกมารณรงค์เอาไว้ในข้อเขียน บทความ ในสำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาทั้งหลายเมื่อวันวานนั่นแหละว่า... “โลกร้อน...ใกล้ มหันตภัย เร่งคุมอุณหภูมิไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส” อะไรทำนองนั้น คือมันออกจะร้อนจริงๆ นั่นแหละ และร้อนอย่างชนิดน่าจะนำไปสู่มหันตภัยในอนาคตอันใกล้ จนความพยายามที่จะ “เร่งคุมอุณหภูมิ” อาจถึงขั้น “สายเกินไป” เอาเลยก็ไม่แน่ คือมันไม่ใช่ร้อนแบบแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แค่ช่วงปีใด ปีหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้าว่ากันตามคำพูด คำชี้แจง ของประเภท “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือผู้อำนวยการสถาบัน “Goddard Institute for Space Studies” แห่งองค์การ “NASA” โน่นเลย อย่าง “นายGavin Schmidt” โดยลักษณะอาการของ “ความร้อน” ช่วงนี้ มันร้อนกันแบบต่อเนื่อง ยาวนาน ร้อนต่อๆ กันมาประมาณ 7 ปี นับจากปี ค.ศ. 2016 มาจนถึงปี ค.ศ. 2020 หรือร้อนแบบเป็นแนวโน้ม เป็นกระบวนการ อะไรทำนองนั้น อีกทั้งยังร้อนสุดๆ นับจากที่เคยมีการบันทึกเป็นสถิติ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
เช่นแถบตะวันตกของแคนาดา แถวๆ บริติช โคลัมเบีย ช่วงนี้...แทบไม่น่าเชื่อแต่คงต้องเชื่อว่าอุณภูมิมันพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 122 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 50 องศาเซลเซียส สูงกว่าบ้านเราช่วงร้อนสุดๆ ไปเกือบ 10 องศาเซลเซียสเห็นจะได้ ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่พวกฝรั่งแคนาดาถึงขั้นร้อนตาย ช็อกตาย ไปแล้วไม่น้อยกว่า 486 ราย พอๆ กับตายเพราะโควิดเอาเลยถึงขั้นนั้น และไม่ใช่แต่เฉพาะแคนาดาเท่านั้น ย้อยลงมาทางใต้ แถบแคลิฟอร์เนียแถบโอเรกอน ฯลฯ ถ้าว่ากันตามข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ อย่าง “Katharine Hayhoe” หรือ “Daniel Swain” ฯลฯ ถือเป็นอุณหภูมิอากาศที่ร้อนสุดๆ ในรอบ 1,200 ปี เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือสูงถึงระดับ 116 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 46.6 องศาเซลเซียส หนักกว่าบ้านเราช่วงร้อนสุดๆหลายต่อหลายองศา แถมยังก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “โดมความร้อน” (Heat Dome) ส่งผลให้ถนนแต่ละสายโค้งงอ คดงอ บิดไป-บิดมา ส่วนผู้คนจะเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ตามไปด้วยหรือไม่ อย่างไร ก็คงต้องไปเช็กข่าวกันเอาเอง...
ส่วนประเภทถิ่นดาวร้าย-ในเมืองร้อนทั้งหลาย หรือบรรดาประเทศที่ร้อนสุดๆอยู่แล้ว เช่นประเทศในตะวันออกกลางในแต่ละราย ก็ยิ่งมีแต่ร้อนหนัก-ร้อนนาน ยิ่งขึ้นไปอีก อย่างเช่นประเทศคูเวต ที่เมือง “Nuwaiseeb” เมื่อช่วงวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ว่ากันว่า...อุณหภูมิความร้อนพุ่งขึ้นไปถึง 127.71 ฟาเรนไฮต์ หรือ 53.2 องศาเซลเซียส เรียกว่า...พอๆ จะต้มไข่ เผาไข่ ไม่ว่าอยู่ภายในกุงเกงใน นอกกุงเกงใน ได้เป็นอย่างดี ส่วนประเทศอิรักนั้น เมื่อช่วงวันที่ 1 ก.ค.ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง อุณหภูมิความร้อนพุ่งขึ้นไปถึง 124.8 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 51.6 องศาเซลเซียส ขณะที่อิหร่านอยู่ที่ประมาณ 123.8 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 51 องศาเซลเซียส ส่วนบรรดาประเทศอ่าวทั้งหลาย ไม่ว่ายูเออี โอมาน บาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย เห็นว่าไม่น้อยไปกว่าประมาณ 112 องศาฟาเรนต์ไฮต์ หรือ 50 องศาเซลเซียส ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา...
คือพูดง่ายๆ ว่า...แค่ระดับ 40 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 104 องศาฟาเรนไฮต์ ที่เคยถัวเฉลี่ยอยู่ในบ้านเรา ก็หนีไม่พ้นต้องโดดลงตุ่ม ลงอ่าง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับระดับ 50 องศาเซลเซียส หรือระดับ 122 องศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไป ไม่ว่าแขก ไม่ว่าไทย ไม่ว่าฝรั่ง ฯลฯ ย่อมมีโอกาส “ไข่สุก” เอาง่ายๆ หรือไม่ก็ต้อง “ร้อนตาย” กันไปเป็นแถบๆ โดยมีถึง 23 ประเทศในช่วงนี้ ที่ร้อนในระดับดังกล่าว อีกทั้งไม่ใช่แค่ร้อนเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ร้อนต่อเนื่องยาวนาน ยืดเยื้อแบบเป็น “กระบวนการ” หรือเป็นตัวชี้ให้เห็นถึง “แนวโน้ม” ค่อนข้างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ว่าโลกใบนี้ของหมู่เฮาทั้งหลาย มีแต่จะร้อนขึ้นๆ จนอาจกลายสภาพเป็น “มหันตภัย” อย่างที่ “ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล” ท่านได้ระบุเอาไว้ โดยเฉพาะถ้าหากไม่สามารถหาทางควบคุมอุณหภูมิด้วยกรรมวิธีต่างๆ ที่ท่านได้แจกแจงไปแล้วโดยละเอียด ไม่ให้เพิ่มไปกว่า 1.5 องศาเซลเซียส นับจากนี้...
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ความพยายามดังกล่าวมันจะ “สายเกินไป” หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน เพราะแม้แต่อุณหภูมิอากาศในเขตที่หนาวเย็น ชนิดปัสสาวะเป็นน้ำแข็งเอาง่ายๆ อย่างแถบคาบสมุทรแอนตาร์กติก เป็นต้น แต่ถ้าว่ากันตามข้อมูล สถิติ ของหน่วยงานอย่าง “United Nations’ World Meteorological Organization” หรือ “WMO” ที่ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า กำลังต้องเจอกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นๆ ประมาณ 3 องศาเซลเซียส หรือ 5.4 ฟาเรนไฮต์ ในช่วงรอบ 50 ปีที่ผ่านมา หรือทำให้โอกาสที่ควบคุม ป้องกัน มันออกจะยากส์ส์ส์เอามากๆ อันเนื่องมาจาก “กระบวนการ” ที่ส่งผลให้อุณหภูมิอากาศมันสูงขึ้นๆ หรือส่งผลให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” นั้น มันดันเป็น “กระบวนการ” เดียวกัน กับที่ทำให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทางการขยายตัวของจีดีพีหรือเป็นกระบวนการเดียวกันกับที่ทำให้เกิด “อำนาจ” ในด้านต่างๆ ของแต่ละประเทศ แต่ละสังคม นั่นเอง...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้ออกจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญอยู่พอสมควร เกิดการยื้อกันไป-ยื้อกันมา โดยเฉพาะในหมู่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ที่ไม่อยากจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรืออยากจะได้เปรียบใครต่อใครไปด้วยกันทั้งสิ้น กว่าที่จะงัด “ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์” ระดับหนาเป็นเล่มๆ มาใช้เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึง “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” อันมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันก็ชักจะเริ่ม “สายไป” หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจคาดคำนวณได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันย่อมดีกว่าไม่คิดจะทำอะไรอยู่แล้วแน่ๆ!!! เพราะสิ่งที่เรียกว่า “มหันตภัย” ที่กำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้านั้น เอาไป-เอามาแล้วมันอาจหนักหนา-สาหัส ยิ่งกว่าเชื้อไวรัสโควิด ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...
อย่างที่ประธานองค์กร “IPCC” หรือ “Intergovernmental Panel on Climate Change” “นายRob Wattson” ท่านเคยวาดภาพจินตนาการเอาไว้ในระหว่างการประชุมว่าด้วยสภาวะโลกร้อนที่กรุงเฮก เมื่อเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2001 โน่นเลย ประมาณว่า... “อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ประชากรในแทบทุกพื้นที่ในโลกนี้ จะต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ การแพร่ระบาดของโรคระบาด ความแห้งแล้งที่จะทำลายดอกผลการเกษตรของกลุ่มประเทศเขตร้อน อันจะส่งผลให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศยากจน หรือโลกที่กำลังพัฒนา จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด จากความเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ เพราะขณะนี้...บรรดานักวิทยาศาสตร์มีข้อมูล และข้อพิสูจน์เพียงพอแล้ว ที่ทำให้สามารถพูดได้เต็มเสียงได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในโลก จะนำมาซึ่งหายนะต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลกอย่างมิอาจประเมินได้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภาวะทุพโภชนาการ เชื้อโรคจากแมลงและแหล่งน้ำ จะนำความสูญเสียมาสู่ประชากรในแต่ละภูมิภาคอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ พฤติกรรมของสัตว์บางชนิดจะเปลี่ยนไป สัตว์และพืชหลายสปีชีส์จะสาบสูญ เกาะหลายแห่งจะจมหายไปในมหาสมุทร ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในหลายๆ พื้นที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉม...ฯลฯ”