ประธานาธิบดีบราซิล ฌาอีร์ โบลโซนาโร กำลังเผชิญเสียงเรียกร้องของประชาชนที่เดินขบวนประท้วงในหลายเมืองใหญ่ของประเทศวันเสาร์ที่ผ่านมา ให้สภานิติบัญญัติดำเนินกระบวนการถอดถอนผู้นำหัวรั้นให้ออกจากตำแหน่ง
ข้อกล่าวหาแบบเดิมๆ คือโบลโซนาโรไม่ใส่ใจในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์แกมมา หรือสายพันธุ์บราซิล ซึ่งได้คร่าชีวิตคนบราซิลไปมากกว่า 5 แสนคน ถือว่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
เรียกได้ว่าแทบทุกครอบครัวในบราซิล ซึ่งมีประชากร 211 ล้านคน ต้องสูญเสียสมาชิกไปด้วยโรคโควิด-19 เพราะผู้นำประเทศไม่ยอมกำหนดมาตรการป้องกันหรือจัดการปัญหา ไม่บังคับให้สวมหน้ากากและทิ้งระยะห่างระหว่างกัน
ทั้งยังมีข้อกล่าวหาว่าโบลโซนาโรไม่ยอมสั่งล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดสั่งซื้อวัคซีนล่าช้า และจำนวนผู้ฉีดวัคซีนมีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์กว่าเท่านั้น ถือว่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะผู้นำบราซิลประเมินความรุนแรงของการระบาดต่ำเกินไป
ชาวบราซิลเดินขบวนในเมืองใหญ่หลายรอบ ทั้งในริโอ เดอ จาเนโร เซาเปาโล และเมืองหลวงบราซิลเลีย เรียกร้องให้โบลโซนาโรเร่งแก้ปัญหา แต่เจ้าตัวยังมองว่าการระบาดไม่สำคัญ ทั้งก่อนหน้านั้นยังอ้างว่าเป็นเพียง “ไข้หวัดน้อย”
โบลโซนาโรมีพฤติกรรมเหมือนอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งดูเบากับปัญหาการระบาดทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม มีคนอเมริกันว่างงานหลายล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 6 แสนราย
โบลโซนาโรได้รับฉายาว่าเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์แห่งละตินอเมริกา” เพราะความอหังการในอำนาจ และความลำพองไม่ใส่ใจต่อปัญหาการระบาดของโควิด-19
ตัวเองก็ติดเชื้อครั้งหนึ่งแต่รอดมาได้ อาการไม่รุนแรง ทุกวันนี้ก็ยังไม่ประกาศมาตรการควบคุม ปล่อยเลยตามเลย ทำให้เกิดความหวาดกลัวว่าสถานการณ์จะเลวร้ายกว่านี้อีกเยอะ ที่เป็นอยู่ ถือว่าร้ายแรง การระบาดเกือบ 1 แสนรายต่อวัน
อัตราการเสียชีวิตเป็นไปอย่างก้าวกระโดด จากตัวเลขเพียง 5 หมื่นรายในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว มาถึงเดือนนี้เพิ่มขึ้น 10 เท่า อยู่ที่ 5 แสนราย ความรุนแรงทำให้คนบราซิลเริ่มถอดใจ เพราะยอดคนตายแต่ละวันสูงเกือบ 3 พันราย
มีมากกว่า 100 ประเทศที่ห้ามคนบราซิลเดินทางเข้าประเทศเพราะการระบาดหนัก นักการเมืองฟากรัฐบาลยังโจมตีฝ่ายค้าน หาว่าไม่เห็นตัวเลขของการจัดหาวัคซีนที่ผ่านมา และพยายามหาเสียงเล่นงานรัฐบาลอย่างไรเหตุผล
ประชาชนโดยทั่วไปเอือมระอากับพฤติกรรมของผู้นำ โดยประณามว่าโบลโซนาโรเลวร้ายกว่าอันตรายจากไวรัสโควิด-19 เสียอีก และยังไม่สามารถผลักดันให้ออกไปได้ เมืองต่างๆ พยายามกำหนดมาตรการควบคุม แต่ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ชาวบราซิลได้เดินขบวนต่อต้านผู้นำรัฐบาลหลายครั้ง แต่โบลโซนาโรไม่มีวี่แววว่าจะหวั่นไหว แม้ตัวเลขคนตายจะมากมาย แทบขุดหลุมฝังศพไม่ทันก็ตาม สภาวะที่ดื้อด้านอย่างนี้ทำให้คนบราซิลจนแต้ม ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ผู้นำออกไป
การศึกษาจากนิตยสาร Lancet ระบุว่าอย่างน้อยการเสียชีวิต 3 ในทุกๆ 4 รายควรถูกเลี่ยงได้ถ้ารัฐบาลได้ออกมาตรการควบคุมและป้องกันเหมือนในประเทศอื่นๆ ทั้งยังเห็นตัวเลขการระบาดในประเทศอื่นๆ ลดลง แต่ในบราซิลกลับเพิ่มขึ้นรวดเร็ว
วุฒิสภาของบราซิลได้เริ่มศึกษาและไต่สวนว่าที่ผ่านมารัฐบาลมีเจตนาละเลยต่อการจัดหาวัคซีน พร้อมดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันหมู่หรือไม่
การสอบสวนเบื้องต้นพบว่ารัฐบาลได้เพิกเฉยการติดต่อผ่านอีเมล 81 ครั้งจากบริษัทไฟเซอร์ ในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งเสนอขายวัคซีนให้ในราคาครึ่งหนึ่งของข้อเสนอขายให้สหรัฐฯ ถ้าตกลงบราซิลจะมีวัคซีนฉีดให้ประชาชนได้เร็วกว่านี้
การสอบสวนยังได้พยายามค้นหาต้นเหตุของความล้มเหลวในการป้องกัน และการดึงดันทุรังที่ให้ส่งเสริมการใช้ยา hydroxychloroquine ซึ่งรักษาไข้มาเลเรีย แต่รัฐบาลบราซิลให้เอามาสู้กับโควิด-19 ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการใช้ที่ได้ผล
ซ้ำร้ายโบลโซนาโรยังอาสาเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันฟุตบอล Copa America ซึ่งก่อนหน้านี้โคลอมเบียและอาร์เจนตินาขอเสนอเป็นเจ้าภาพ แต่โคลอมเบียมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ และอาร์เจนตินามีการระบาดอย่างหนัก
โบลโซนาโรคุยฟุ้งว่าสามารถจัดการได้ ทั้งๆ ที่มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่ายภายในประเทศ และนักเตะบราซิลประกาศจะบอยคอตการแข่งขัน ทำให้ไม่มีผู้เข้าชมและอัฒจันทร์ว่างเปล่า ทั้งยังมีการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ Andean อีกด้วย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการระบาดรอบที่ 3 ซึ่งถือว่าได้เริ่มต้นแล้วและครั้งนี้การระบาดมาจากรอบนอกเมืองใหญ่ แล้วเข้าสู่เมือง ทำให้ระบบสาธารณสุขอยู่ในสภาพเกือบล่ม ในเมืองหลวงมีคนติดเชื้อมาก ต้องใช้เตียง ICU ถึง 80 เปอร์เซ็นต์
เมื่อขาดมาตรการล็อกดาวน์ การระบาดในอัตราสูงจะยังมีต่อไป สถานการณ์โดยรวมอาจจะเริ่มดีขึ้นถ้าการฉีดวัคซีนครอบคลุม 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากร
ผลกระทบระยะยาวจากโควิด-19 ยังประเมินได้ยาก จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยจากโรคนี้แต่หายแล้วในสหรัฐฯ จะมีปัญหาสุขภาพสารพัด ทั้งในด้านระบบหัวใจ ประสาท การหายใจ และผลด้านจิตใจ ซึ่งสูงถึง 23 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโดยรวม
เมื่อคำนึงถึงสภาพที่เป็นอยู่ ในอนาคตชาวบราซิลหลายสิบล้านคนเสี่ยงกับการเผชิญปัญหาสุขภาพในรูปแบบต่างๆ สร้างภาระด้านสังคมอย่างรุนแรงต่อเนื่อง