สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ล่าสุด วันที่ 20 มิถุนายน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,682 คน เสียชีวิต 20 ราย รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 218,131 ราย เสียชีวิต 1,629 ราย
ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ในระดับ 2-3 พันคน เสียชีวิตวันละ 20-30 คน บางวันก็มากกว่ามา 2 เดือนแล้ว และมีแนวโน้มว่า จะทรงตัวอยู่แบบนี้ไปอีกนาน นานเท่าไรก็ไม่รู้ ที่แน่นอนคือ เราคงต้องอยู่กับไวรัสโควิดไปอีกนาน และอย่ารอคอยวันที่ผู้ติดเชื้อจะลดลงเหลือ 3 หลัก 2 หลัก หลักเดียวจนเป็นศูนย์ เหมือนการระบาดระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว เพราะเป็นไปได้ยาก
ขณะเดียวกัน ความเป็นจริงของชีวิต สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลงไปทุกวัน นานไปกว่านี้จะยิ่งเลวร้าย ยากที่จะกอบกู้ฟื้นคืนชีพให้กลับมา ส่วนประชาชนก็อยู่สภาพสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะผ่านคืนวันอันวิกฤตไปได้อย่างไร
สถานการณ์บีบบังคับให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเปิดเกมรุก ประกาศเปิดประเทศในอีก 120 วันข้างหน้า คือ ประมาณกลางเดือนตุลาคม โดยมีกลยุทธ์ที่จะบรรลุเป้าหมายนี้คือ การระดมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนอย่างน้อย 50 ล้านคน
ถึงแม้ในขณะนี้ มีคนไทยที่ได้รับวัคซีนในอัตราที่ต่ำไม่ถึง 5% ของจำนวนประชากร เนื่องจากการปูพรมฉีดวัคซีนเพิ่งเริ่มได้เพียง 2 สัปดาห์ และมีปัญหาวัคซีนขาดช่วง แต่ดูอัตราการฉีดในสัปดาห์แรกของการปูพรมที่วัคซีนพร้อม สามารถฉีดได้วันละ 3- 4 แสนโดสทั่วประเทศ การฉีดเข็มแรกให้ได้ 50 ล้านคนในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า เป็นเรื่องที่ทำได้ หากมีวัคซีนทยอยมาต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ
เป้าหมายเปิดประเทศ 120 วัน จึงขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่จะได้รับในแต่ละสัปดาห์ และแต่ละเดือนนับจากนี้ไปอีกเงื่อนไขสำคัญหนึ่งคือ การกลายพันธุ์ของไวรัส ในประเทศไทยจะเกิดขึ้น และระบาดอย่างกว้างขวางหรือไม่ หากมีการระบาดในวงกว้าง วัคซีนที่ไทยใช้คือ แอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค จะเอาไวรัสกลายพันธุ์อยู่หรือไม่
ทั้งเรื่องวัคซีนที่มีกับไวรัสกลายพันธุ์ คือ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ในช่วง 120 วันจากนี้ไป อย่างไรก็ตาม เมื่อกำหนดเป้าหมายไว้แล้ว ก็ต้องทำให้ได้ มีปัญหาใด ก็แก้ไปตามสถานการณ์
เป้าหมายเปิดประเทศ 120 วัน แม้จะยังมีคนกังขาจะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด แต่กระแสการตอบรับของประชาชนภาคธุรกิจเห็นด้วย และชื่นชมการตัดสินใจของนายกฯ เพราะเป็นการกำหนดเป้าหมาย แนวทางที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะเดินต่อไปทางไหน ในสถานการณ์ที่ยังมีการระบาดอยู่ เป็นการเปิดเกมรุกสู้กับไวรัสโควิดด้วยวัคซีน ดีกว่า นั่งรอให้ยอดผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตลดลง
วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ การเปิดประเทศจะเริ่มนับหนึ่ง โดยมีจังหวัดภูเก็ตเป็นผู้นำร่อง ในโครงการ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งได้รับอนุมัติจาก ศคบ. แล้ว
ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป ภูเก็ตจะเปิดรับคนต่างชาติ โดยไม่กักตัว มีเงื่อนไข คือ ผู้เดินทางจะต้องได้รับวัคซีนครบโดสอย่างน้อย 14 วัน ก่อนการเดินทาง เป็นผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยงต่ำ-กลาง มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนจากประเทศต้นทาง ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ พักโรงแรมที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยว และพนักงานได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวน 14 คืน จากเดิมที่เคยจะเสนอพิจารณาแค่ 7 คืน ตลอดระยะเวลา 14 วันที่ท่องเที่ยวในภูเก็ต จะต้องตรวจเชื้อโควิด-19 จำนวน 3 ครั้ง และผลเป็นลบทุกครั้งจึงจะสามารถเดินทางไปยังจังหวัดอื่นๆ ได้
หากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เปิดรับนักท่องเที่ยวแล้วไม่มีการระบาดเกินเกณฑ์ที่กำหนด และควบคุมได้ ภายใน 1-2 เดือนถัดไป จะมีการเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเป้าหมายอีก 9 จังหวัด อาทิ เกาะสมุย เกาะพงัน พัทยา เชียงใหม่ ฯลฯ ก่อนที่จะเปิดประเทศไทยทั้งประเทศตามเป้าหมาย 120 วันต่อไป
แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี เรื่อง เปิดประเทศไทยใน 120 วัน พลิกเกมการเมือง ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทุกฝ่าย จากความล้มเหลวในการสื่อสารเรื่องการฉีดวัคซีน กลับมาได้รับเสียงสนับสนุนจากทุกฝ่าย ที่เห็นด้วยกับการกำหนดเป้าหมายเปิดประเทศ หากทำได้สำเร็จ คะแนนนิยมจะพุ่งพรวด ส่งผลต่อความมั่นคงในตำแหน่งไปจนถึงปีหน้า ในทางตรงกันข้าม ถ้าล้มเหลว ก็คือจุดจบของนายกฯ
เป้าหมายเปิดประเทศ 120 วัน นอกจากเป็นเดิมพันของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นเดิมพันชี้ชะตานายกรัฐมนตรีด้วย