ในปี 2020 มีประเทศในเอเชียที่ได้รับการยกย่องว่า สามารถป้องกันการระบาดได้ ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เวียดนาม...รวมทั้งอินเดีย และแม้ไทยด้วย
มาในปีนี้ (2021) ประเทศที่ได้รับความชื่นชมในปีที่แล้ว มีการระบาดรอบใหม่ชนิดหนักหนา และสถานการณ์ยังเป็นลูกผีลูกคนว่าจะจัดการได้อยู่หรือไม่
เกาหลีใต้ดูจะจัดการได้ดีที่สุดกับรอบใหม่นี้ เพราะเขาทำตามวิธีการขององค์การอนามัยโลกคือ ตรวจ-ตรวจ-และตรวจ (test-test-test) เพื่อค้นหาตัวผู้ป่วยได้เร็วที่สุด ทำแบบปูพรมเลย ทุ่มงบกับการหาเครื่องมือและน้ำยาตรวจอย่างไม่อั้น...ก็เพื่อคัดแยกให้เร็วที่สุด นำเอาผู้ติดเชื้อ (ที่อาจยังไม่มีอาการก็ตาม) ให้แยกออกไปสังเกตดูอาการหรือรับการรักษา...ออกจากผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ...ที่สำคัญคือ เขาตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อนี้ ทำอย่างถี่มากๆ เพราะบางทีถ้าตรวจแล้วยังไม่เจอก็เพราะเชื้อโรคกำลังฟักตัวอยู่ ถ้ากลับไปตรวจซ้ำก็อาจจะเจอในวันถัดไปได้
และเกาหลีใต้ระดมฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง ขณะนี้ไม่มีข่าวน่ากังวลในเกาหลีใต้อีกต่อไป
สำหรับญี่ปุ่น เกิดอาการดีแตก คือ จัดการเอาอยู่ในปีที่แล้ว โดยการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้น ขนาดยกเลิกการจัดโอลิมปิกไปเลย ซึ่งนายกฯ อาเบะ ต้องปาดเหงื่อที่ไม่ได้ผลตอบแทนการลงทุนก้อนมหึมากับกีฬาโอลิมปิก มีแต่ดอกเบี้ยมหาศาลที่จมลงไปกับการลงทุน
พอปลายปี เริ่มผ่อนคลายกฎเข้มระเบียบต่างๆ มีการให้เปิดคาราโอเกะ และร้านรวงต่าง ที่กลับมาซื้อขายตามปกติ
แล้วในที่สุด ไวรัสมรณะนี้ก็กลับมาที่ญี่ปุ่นในต้นปีนี้เอง จากสองแหล่งใหญ่คือ คาราโอเกะ (คล้ายกับทองหล่อ ซูเปอร์สเปรดเดอร์ของเรา) และระบบขนส่งมวลชน ที่ยังแออัดตามรถไฟใต้ดิน (ก็คล้ายบ้านเราเช่นกัน)
นายกฯ ซูกะ ขณะนี้มีคะแนนนิยมลดลงเหลือแค่ 30% ต้นๆ เพราะมีการระบาดอย่างหนักในหลายๆ จังหวัด ต้องขยายจังหวัดที่ประกาศล็อกดาวน์ และขยายเวลาในการล็อกดาวน์ออกมา จนนาทีนี้การจัดโอลิมปิกยังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ เพราะมีทั้งนายกเทศมนตรีหลายเมือง, ปัญญาชน, กลุ่มผู้สูงอายุ ออกมาต่อต้านไม่ต้องการจัดโอลิมปิก เพื่อรักษาชีวิตผู้คนไม่ให้มีการระบาดลุกลามของโรคจากโอลิมปิกจนเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์
ขนาดกลุ่มแพทย์ก็ลงมือเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ไม่ให้จัดโอลิมปิก เพราะชีวิตคน (โดยเฉพาะญี่ปุ่น เป็นสังคมผู้สูงอายุที่ 20 เปอร์เซ็นต์กว่า...ราว 23-25 เปอร์เซ็นต์ของประชากรญี่ปุ่นเป็นผู้สูงอายุที่จะเป็นเหยื่อโอชะของไวรัสมรณะนี้) โดยเขากดดันนายกฯ ว่า ถ้าจะเดินหน้าจัดโอลิมปิกก็จะเป็น Suicide Mission หรือภารกิจฆ่าตัวตาย (แบบฮาราคีรีของญี่ปุ่นคือ คว้านท้องของตัวเองตาย...ไม่มีใครมาทำร้ายให้ตาย!) นั่นเอง
/
ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นต่างจากเกาหลีใต้เพราะการฉีดวัคซีนทำได้น้อยมาก รวมทั้งการระดมการตรวจ (test) ก็น้อยกว่า จนฝ่ายค้านโจมตีว่า รัฐบาลไร้น้ำยา เพราะไม่ระดมการฉีดวัคซีน เนื่องจากวัคซีนก็มีไม่มากพอ ส่วนหนึ่งคือ ไม่ยอมรับวัคซีนจากจีน (ซึ่งก็พอๆ กับอินเดียที่ไม่ยอมรับวัคซีนจากจีน) แต่จะรอรับวัคซีนจากสหรัฐฯ หรืออังกฤษนั่นเอง
ดูท่าทางแล้ว ญี่ปุ่นเข้าลักษณะเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย จนโอลิมปิกปีนี้ก็อาจไม่ได้จัดด้วยซ้ำไป
และความเด็ดขาดของกฎเข้มงวดปิดกั้นการระบาดก็หละหลวม ขนาดนายกฯ ซูกะเองยังละเมิดกฎที่ตนเองออกมาห้ามไม่ให้ชุมนุมเกิน 6 คน แต่ตัวเองแอบดอดไปรับเลี้ยง (ตอนได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ) ของเหล่าเพื่อนสนิทผู้สูงวัยที่ร้านสเต๊กใหญ่ โดยมีผู้ร่วมทานอาหารเย็นมื้อนั้นเกิน 6 คน...พอถูกจับได้ ก็ออกมาแก้ตัวว่า...ได้ไปร่วมรับการแสดงความยินดีจริง แต่ไปร่วมแค่แผล็บเดียว ไม่ได้นั่งอยู่นาน และได้โค้งขอโทษประชาชนอยู่ฉากใหญ่! ก็เลยทำให้ประชาชนเกิดอาการผ่อนคลายกฎเข้มตามนายกฯ ทั้งในการใช้รถไฟใต้ดิน หรือในกิจวัตรประจำวันที่ไม่รักษาระยะห่างอีกต่อไป
แล้วยังมัวชักช้า ไม่กล้าตัดสินใจประกาศขยายพื้นที่ล็อกดาวน์ (จาก 4 จังหวัดแรกที่ประกาศไปแล้วคือ โตเกียว, โอซากา, เกียวโต, และเฮียวโกะ) จนถูกกดดันมากขึ้นๆ ก็เลยเพิ่งยอมประกาศขยายพื้นที่ล็อกดาวน์เพิ่มอีก 5 จังหวัด
ส่วนที่ไต้หวัน ก็เกิดอาการดีแตกเช่นกัน เพราะอาจมัวเมากับคำชื่นชมจากทั้งโลกจนวันหนึ่งเชื้อโรคก็เข้ามาทางนักบิน ที่เริ่มหละหลวมต่อการเอาจริงเอาจังกับกฎเข้ม
จากนักบินก็ขยายไปยังชุมชน โดยเฉพาะคือเขต Red District ที่มีผู้ขายบริการตามโรงน้ำชาต่างๆ ผ่านทางหญิงชงน้ำชา ซึ่งก็อาจเป็นแหล่งซูเปอร์สเปรดเดอร์แบบทองหล่อของเรา
การระดมฉีดวัคซีนที่ไต้หวันช้ามากๆ ส่วนหนึ่งคือ ปฏิเสธรับวัคซีนที่ทางจีนเสนอให้...มัวแต่รอจะรับจากสหรัฐฯ นั่นเอง
รวมทั้งการ test ก็เริ่มทำน้อยลง เมื่อได้รับคำชื่นชมก็เลยเพลินไป
สำหรับที่สิงคโปร์ ซึ่งฟันฝ่ารอบแรกมาได้อย่างสวยงาม โดยตรวจแบบปูพรมใน Campsite ของคนงาน (จากต่างชาติ) และสามารถจัดการแยกผู้ป่วยออกจากคนไม่ติดเชื้อได้ดีมาก
ต่อมาน่าจะเกิดอาการดีแตกเช่นกัน เพราะเพลิดเพลินกับคำชื่นชมในความสำเร็จจนอาจหาญจะทำ Travel Bubble กับฮ่องกง และกับประเทศอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังเผชิญกับการระบาดรอบใหม่อย่างหนัก จนการเปิด Travel Bubble ต้องพับไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด
สาเหตุการระบาดรอบใหม่ของสิงคโปร์ ส่วนหนึ่งคือการผ่อนคลายกฎเข้ม ซึ่งเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ที่ผ่อนคลายกฎเร็วเกินไปนั่นเอง
ประกอบกับการระดมฉีดวัคซีนก็ยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ จึงเกิดการระบาดรอบใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ
ยังมีอีก 2 ประเทศที่ดีแตกคือ เยอรมนี และอินเดีย ซึ่งนายกฯ แมร์เคิลเกือบเสียผู้เสียคนไปเลย เมื่อเธอกลับคำ...เปลี่ยนนโยบายชั่วข้ามคืน...เกิดขึ้นในช่วงจะหยุดอีสเตอร์ต้นเมษายน ซึ่งเธอได้ออกมาย้ำว่า ยังเดินหน้าล็อกดาวน์ ไม่ให้เดินทางเคลื่อนย้าย เพราะการระบาดของโรคที่เยอรมนีแม้จะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังปราบไม่อยู่หมัด
เมื่อเธอถูกกดดันอย่างหนักจากภาคธุรกิจ ที่บอกว่า อาการระบาดดีขึ้นแล้ว สมควรเปิดเมืองในเทศกาลอีสเตอร์ เธอต้องจำยอมให้แก่ฝ่ายธุรกิจ; ทำให้การจัดการกับการระบาดต้องเผชิญกับตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นมากหลังอีสเตอร์ ต่างกับนายกฯ อังกฤษ บอริส จอห์นสัน ที่แข็งใจปิดเมืองช่วงอีสเตอร์
แชมป์ของดีแตกคือ โมดี แห่งอินเดีย...ส่วนไทยนั้นก็ดีแตกเช่นกัน