xs
xsm
sm
md
lg

พม่า...ใกล้“สงครามกลางเมือง”เข้าไปทุกที

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



คงต้องแวะไปดูสักหน่อย!!!...สำหรับฉากสถานการณ์ความเป็นไปของประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างพม่า ในทุกวันนี้ เพราะเห็นว่า...ถึงขั้นประกาศจัดตั้ง “กองกำลังอาวุธ” เพื่อปกป้องประชาชน หรือบรรดาผู้ประท้วงการรัฐประหาร ที่ถูกไล่บด ไล่บี้ ไล่ยิง ไล่ฆ่า มาโดยตลอด อย่างชนิดเป็นทางการไปแล้ว เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้...

คือกองกำลังที่ถูกเรียกขานกันในนาม “The People’s Defence Force” ซึ่งรัฐบาลทางเลือก หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งเมียนมา (Myanmar’s National Unity Government) ของบรรดานักการเมืองฝ่ายสนับสนุน “อองซาน ซูจี” หรือฝ่าย “CRPH” เขาได้ประกาศจัดตั้งขึ้นมา ปรากฏอยู่ในคำแถลงการณ์เมื่อช่วงวันพุธ (5 พ.ค.) ของสัปดาห์ที่แล้ว โดยจะประกอบไปด้วยบรรดาพลเรือน หรือนักศึกษา ที่แห่เข้าไปฝึกอบรมการใช้อาวุธกับกองกำลังกะเหรี่ยงนับเป็นร้อยๆ หรือจะมีนักรบแท้ๆ ของบรรดาพวกชนชาติส่วนน้อยกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมด้วย-ช่วยกัน หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังมิอาจทราบในรายละเอียดแต่คงไม่ได้คิดจะใช้มือเปล่า ใช้หนังสติ๊กสู้กับทหารพม่าต่อไปอีกแล้ว ส่วนจะสู้ได้-สู้ไม่ได้ แบบไหน ประการใด คงต้องคอยติดตามสถานการณ์กันดูอีกที...

แต่ยังไงๆ...ความพยายาม “ยกระดับ” การต่อสู้ของบรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร หรือผู้ที่ไม่อาจอดรนทนได้อีกต่อไป กับความเหี้ยม ความโหด ของรัฐบาลเผด็จการพม่าในคราวนี้ ต้องเรียกว่า...ได้ก่อให้เกิดสีสันบรรยากาศ ที่ผิดแผกแตกต่างออกไป จากครั้งการลุกขึ้นสู้กับการรัฐประหารเมื่อช่วง 30 กว่าปีที่แล้ว หรือช่วงปี ค.ศ. 1988 อยู่ตามสมควร แม้ว่าครั้งนั้น จะเกิดการเดินขบวนประท้วงแล้วถูกปราบ เกิดการหนียะย่าย พ่ายจะแจของพวกนักศึกษา ประชาชน ชาวพม่า แห่เข้าป่า ไปร่วมมือ ร่วมฝึกอาวุธกับพวกชนกลุ่มน้อย หรือถึงขั้นจัดตั้งกลุ่มต่อต้านขึ้นมาในประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ แต่ก็ไม่ถึงกับก่อให้เกิดความหนักอก-หนักใจ หนักหนา-สาหัส ต่อบรรดาพวกทหาร หรืออดีตเผด็จการพม่า มากมายสักเท่าไหร่...

เพราะอย่างน้อย...ยังมีคุณพี่จีนโดดเข้าไปอุ้ม แบบเต็มแขน เต็มไหล่ มีบรรดาประเทศอาเซียนที่ออกจะกระเหี้ยนกระหือรือในการทำมาหารับประทานอยู่ในช่วงระยะนั้น โดดเข้าไป “ปฏิสัมพันธ์ในเชิงรังสรรค์” หรือ “Constructive Engagement” จนสุดท้าย...บรรดาฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ก็ค่อยๆ “เหี่ยวปลาย” ลงไปเอง อีกทั้งการรบ การต่อสู้กับบรรดากองกำลังอาวุธของชนชาติส่วนน้อย ที่มีมาอย่างยืดเยื้อยาวนานมาโดยตลอด ก็มักยิงกันไป-ยิงกันมา อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ที่อยู่ไกลจากเมืองแต่ละเมืองเป็นโยชน์ๆ การค่อยๆ ปะเหลาะ เกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้หันมาอยู่ร่วมกันโดยสันติ บรรลุข้อตกลง “หยุดยิง” กันไปในแต่ละกลุ่ม แต่ละพวก ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็จึงสามารถ “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนพม่า” ได้ไม่ยากส์ส์ส์...

แต่มาคราวนี้...ถ้าใครที่มีโอกาสได้ไปอ่านข้อเขียน บทความ ของอดีตนักข่าวรุ่นเก๋า รุ่นลายคราม ชาวสวีเดน อย่าง “นายเบอร์ทิล ลินต์เนอร์” (Bertil Lintner) เรื่อง “A wider war coming to Myanmar” ซึ่งเผยแพร่ไว้ในสำนักข่าว “Asia times” เมื่อวัน-สองวันมานี้ และสำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาได้นำมาแปลและเรียบเรียงและถ่ายทอดต่อในชื่อเรื่อง “สัญญาณสงครามกลางเมืองพม่ากำลังขยายตัว” ก็น่าจะพอเห็นสีสันบรรยากาศ อันผิดแผกแตกต่างไปกว่าเมื่อช่วงอดีต หรือเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้วอยู่ตามสมควร คืออดีตนักข่าวอย่าง “นายเบอร์ทิล ลินต์เนอร์” นั้น...ต้องเรียกว่า “ไม่ธรรมดา” เคยทำข่าว เขียนข่าว “เจาะ-เกาะ-ติด” เรื่องราวในประเทศพม่าและในเอเชียอาคเนย์มาร่วมๆ 4-5 ทศวรรษเห็นจะได้ จนมีผลงานรวมเล่มเป็นพ็อกเกตบุ๊ก ไม่รู้กี่เล่ม ต่อกี่เล่ม เช่น “The Rise and Fall of the Communist Party of Burma” เรื่อง “Kachin Lords of Burma”เรื่อง “Land of Jade” ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้เป็นต้น...

คือสิ่งที่ “นายเบอร์ทิล ลินต์เนอร์” แกมองเห็น...ก็คือการยิงกันไป-ยิงกันมา ระหว่างกองทัพเผด็จการพม่ากับผู้ต่อต้าน หรือกับบรรดากองกำลังชนชาติส่วนน้อย ที่ไม่ค่อยถึงกับดุเดือด รุนแรงมากมายสักเท่าไหร่ในช่วงอดีตที่ผ่านมา มีแต่ทหารพม่าเท่านั้นที่สามารถไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ ไล่จับและไล่ยิง บรรดาฝ่ายต่อต้านกันเป็นหลัก หรือแม้ต้องถูกตอบโต้ด้วยอาวุธจากพวกกะเหรี่ยง คะฉิ่น ไทยใหญ่ ฯลฯ อยู่ตามสมควร แต่ก็เป็นการสู้รบในเขตป่าเขาลำเนาไพร เขตชนบทรอบนอก ที่ห่างไกลไปจากความรับรู้ รับทราบ ของใครต่อใครมาโดยตลอด แต่มาครั้งนี้...จะด้วยการร่วมมือ-ร่วมใจระหว่างพวกต่อต้านรัฐประหาร กับพวกชนกลุ่มน้อย ที่ลงจุด ลงตัว แบบไหน อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ แต่เริ่มส่งผลให้การสู้รบระหว่างทหารพม่ากับฝ่ายต่อต้าน เขยิบเข้ามาภายในตัวเมือง หรือเริ่มกลายสภาพเป็น “สงครามในเมือง” (Urban Warfare) อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ยิ่งเข้าไปทุกที...

อย่างเช่น การ “ยิงจรวด” ใส่ฐานทัพอากาศ 2 แห่งในเมือง “Magwe” และ “Meiktila” เมืองในแถบภาคกลางของพม่า หรือการก่อวินาศกรรม วางระเบิดคลังแสงอาวุธของกองทัพพม่าที่เมืองพะโค เหล่านี้เป็นต้น โดยยังไม่นับรวมถึงการ “สอย” เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพพม่า โดยกองกำลัง “คะฉิ่น” ที่ไม่ยอมเปิดเผยว่าใช้ “อาวุธ” ชนิดไหนกันแน่ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ไม่เพียงแต่ทำให้ “Urban War” ชักเริ่มมีเค้า มีลาง ว่าอาจกลายสภาพไปเป็น “Civil War” หรือเป็น “สงครามกลางเมือง” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่แน่!!! อันเป็นสิ่งที่กองทัพพม่า เผด็จการพม่า ไม่ได้คุ้นเคย คุ้นชินมาก่อน อีกทั้งการหันไปใช้ “เหยื่อล่อ” หรือใช้ “ผลประโยชน์” ต่างๆ เป็นเครื่องล่อ ก็ไม่น่าจะถึงกับถนัดถนี่กันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อ “ปฏิกิริยา” ของบรรดาประเทศต่างๆ ไม่ว่า “จีน” หรือ “อาเซียน” ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมๆ ไม่มากก็น้อย...

การประกาศอนุมัติโครงการลงทุน 15 โครงการ มูลค่าปาเข้าไปถึง 2,500 ล้านดอลลาร์คราวล่าสุด ของเผด็จการพม่าเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา จึงแทบไม่ได้แจกแจงรายละเอียดใดๆ เอาไว้เลย ว่าใครกันแน่??? ที่จะเข้าไปลงทุนสูบก๊าซแอลพีจีหรือไปสร้างโน่น สร้างนี่ ตามคำเชิญชวน คำโฆษณา ที่ถูกนำมาใช้เป็น “เหยื่อล่อ” แบบเก่าๆ เดิมๆ ขณะที่บริษัทจัดอันดับความเชื่อถือระหว่างประเทศ “Fitch Solutions”ตัดสินใจหั่นความเติบโตทางเศรษฐกิจพม่าในปีนี้ลงมาถึง 20 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น อีกทั้งการหันไปเจรจากับบรรดากองกำลังอาวุธของชนชาติส่วนน้อย เพื่อให้ลดความดุเดือดเลือดพล่านลงไปมั่ง ก็ออกจะก่อให้เกิดความ “แปลกประหลาด” อยู่พอสมควรเหมือนกัน คือขณะที่พวกคะฉิ่น กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ฯลฯ ต่างประกาศยืนหยัดเคียงข้างกับรัฐบาลทางเลือก หรือรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติของพวกต่อต้านรัฐประหาร โดยกองกำลังอาวุธที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุด อย่าง “United Wa State Army” หรือกองกำลังรัฐว้า ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับจีน ไม่น้อยไปกว่ากองกำลังคะฉิ่น ยังคงพยายามอยู่เงียบๆ เฉยๆ แต่กลับปรากฏว่ากองกำลังยะไข่ หรือ “Arakan Army” (AA) ที่น่าจะใกล้ชิดกับอินเดีย หรือกับพวกไอเอส ไอซิส ของคุณพ่ออเมริกาไปโน่นเลย กลับสามารถบรรลุข้อตกลง “หยุดยิง” กับกองทัพพม่า หลังก่อการรัฐประหาร อย่างชนิดแทบไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ กันจนได้!!!...

ว่ากันว่า...ด้วยสีสันบรรยากาศ ที่ค่อนข้างผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม หรือจากเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วนี่เอง ที่ทำให้บรรดาอดีตเผด็จการยุคเก่าของกองทัพพม่า ชักเริ่มออกอาการ “เหล่ๆ” ต่อผู้นำทหารพม่า อย่างพลเอกอาวุโส “มิน อ่อง หล่าย” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ประมาณว่า “มือไม่ถึง” อะไรทำนองนั้น แม้ว่าจะเหี้ยมแสนเหี้ยมระดับม.ม้าวิ่งไล่แทบไม่ทันก็เถอะ แต่อาจเป็นเพราะ “ความเหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” ทั้งหลาย มันมีที่มาจาก “ผลประโยชน์ทางธุรกิจ” นั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางการเมือง หรือ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” กี่มาก-น้อย โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงไปแบบเมื่อครั้งรัฐประหารปี ค.ศ 1988 จึงออกจะเลือนรางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มที่จะกลายสภาพไปเป็น “ซีเรีย” จึงยิ่งมีโอกาสสูงยิ่งเข้าไปทุกที...




กำลังโหลดความคิดเห็น