โดยสีสันบรรยากาศช่วงนี้...ต้องเรียกว่า ออกจะสับสนโกลาหลไปแทบจะทั่วทั้งโลกนั่นแหละทั่น!!! ไม่ใช่เฉพาะบ้านเรา ที่ต้อง “หูแหก-ตาแหก” ในเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด” จนอลหม่านไปแทบทั้งประเทศ เพราะอย่างน้อย...หลังจากหันไป “ด่าบิ๊กตู่” หรือหันไป “ด่าเสี่ยหนู” หรือใครต่อใครที่มีอำนาจ-หน้าที่-ความรับผิดชอบ ได้มีโอกาสสาดสากกะเบือบินกันคนละสองแท่ง สามแท่ง ก็น่าจะพอผ่อนๆ คลายๆ หรือพอได้ “ระบาย” อะไรต่อมิอะไรลงไปได้มั่ง...
แต่สำหรับ “โลก” แล้ว...ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด” ที่นับวันจะหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นๆ ไม่ว่าการแพร่เชื้อ ขยายตัว กลายพันธุ์ ฯลฯ จนจำนวนคนป่วย-คนตาย พุ่งไปไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบล้านเข้าไปแล้ว แต่ยังมีเรื่อง “สงคราม” เรื่อง “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” อันเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยอง ไม่น้อยไปกว่ากัน เริ่มก่อรูป ก่อร่าง เริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้วลางๆ และนับวันชักจะชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ดังที่สถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพ หรือ “The Stockholm International Peace Research” เขาเพิ่งนำเอางานวิจัยชิ้นล่าสุดมาเปิดเผยไปเมื่อช่วงวันจันทร์ (26 เม.ย.) ที่ผ่านมา ว่าขณะ “ศัตรูที่มองไม่เห็น” หรือ “ศัตรูของมวลมนุษยชาติ” อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ท่านออกมาเล่นงานมวลมนุษย์ในระดับทั่วทั้งโลก ทั่วทุกทวีป หรือแม้แต่ทุกระบอบการปกครอง ไม่ว่าประชาธิปไตย เผด็จการ คอมมูนิด คอมมูหน่อยใดๆ ก็เถอะ ชนิดแทบไม่ต่างไปจากพวก “เอเลี่ยน” พวก “มนุษย์ต่างดาว” ในหนังฮอลลีวูดทำนองนั้น แต่แทนที่มวลมนุษย์ทั้งหลาย จะหันมา “ร่วมมือ-ร่วมใจ” เผชิญหน้าศัตรูดังกล่าว กลับหันมาตั้งการ์ด ตั้งท่า ที่จะเล่นงาน “ศัตรูที่เป็นมวลมนุษย์ด้วยกันเอง” เป็นหลักซะมากกว่า...
คือระหว่างที่เชื้อโควิดกำลังแพร่ กำลังระบาดตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว...ตามรายของสถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพ เขากลับชี้ให้เห็นว่าบรรดา “ค่าใช้จ่ายทหาร” ของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย กลับเพิ่มขึ้นๆ!!! แทนที่จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ด้านความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพ หรือกลับปรากฏว่า “งบประมาณทางทหาร” ของบรรดามหาอำนาจทั้งหลาย ที่ไล่เบียด ไล่บี้ กันชนิดไม่คิดจะลดราวาศอก กลับสูงโด่เด่ยิ่งไปกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หรือจากปี ค.ศ. 2019 ที่อยู่ในระดับประมาณ 2.2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก มาช่วงปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมากลับเพิ่มขึ้นไปถึง 2.6 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 1.98 ล้านล้านดอลลาร์ กี่ล้านล้านบาทไทยก็ลองเอา 30 คูณเข้าไปดู โดยเฉพาะบรรดา 5 เสือ หรือ 5 มหาอำนาจของโลกใบนี้ อันได้แก่คุณพ่ออเมริกาเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยคุณพี่จีน รัสเซีย อินเดีย และอังกฤษตามลำดับ ที่มีค่าใช้จ่ายทางทหารรวมกันเป็นจำนวนถึง 62 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายทั้งมวล...
ด้วยเหตุนี้...ก็อย่าไปเสียเวลา “ด่า” แค่เฉพาะ “กองทัพบกบ้านเรา” ล้วนๆ ว่ายังคิดซื้อหาอาวุธอะไรต่อมิอะไรต่อไปอีก คือต้องหันไปด่าโลกทั้งโลกนั่นแหละ มันถึงจะตรงจุด ตรงเป้า โดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกาที่เพิ่มงบประมาณด้านนี้ขึ้นไปอีกถึง 4.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2019 หรือประมาณ 778,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่อเมริกันชนตายโหง ตายห่า เพราะเชื้อโควิดมากกว่าการตายเพราะสงคราม 5 ครั้งหลังสุดรวมกัน ส่วนคุณพี่จีนนั้นเพิ่มขึ้น 1.9 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 252,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุเพราะความกลัว ความหวาดผวาต่อคุณพ่ออเมริกาหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่โดยรวมๆ แล้ว...คงต้องยอมรับว่า เหตุที่บรรดามหาอำนาจทั้งหลายต่างหันมาทุ่มทุน ทุ่มเท ซื้ออาวุธ จัดหาอาวุธ เพื่อเอาไว้เล่นงานมวลมนุษย์ด้วยกันเอง ย่อมหนีไม่พ้นไปจากแนวโน้มบรรยากาศ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ที่เริ่มปรากฏให้เห็นแบบหวีดหวิว ฉิวเฉียด จวนๆ เจียนๆ ยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะในแถบ “เอเชีย-แปซิฟิก” หรือแถวๆ “ทะเลจีนใต้” ใกล้ๆ กับบ้านเราแค่ไม่กี่ศอก กี่วา นั่นเอง!!!
คือถึงขั้นที่ทำให้รัฐมนตรีด้านความมั่นคงออสเตรเลีย... “นายไมค์ เพซซูลโล” (Mike Pezzullo) ต้องออกมาพูดเตือนสติไว้ในช่วงวันทหารผ่านศึกออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ หรือวัน “Anzac Day” เมื่อช่วงวันอังคาร (27 เม.ย.) ที่ผ่านมา ประมาณว่า “เสียงกลองศึก...กำลังดังขึ้นมาแล้ว แม้บางครั้งอาจจางๆ ไกลๆ แต่หลายครั้งก็ดังสนั่นหวั่นไหวและยิ่งใกล้เข้ามาทุกที” โดยเฉพาะแถบเอเชีย-แปซิฟิก ทะเลจีนใต้ อันเป็นอาณาบริเวณที่ออสเตรเลีย ในฐานะหนึ่งในพันธมิตรสี่เหลี่ยมด้านเท่า (QUAD) ใช้เป็นพื้นที่ในการต่อต้าน หรือปิดล้อมจีน ตามยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” ของคุณพ่ออเมริกานั่นเอง แถมยังมีรัฐมนตรีกิจการภายในออสเตรเลีย “คาเรน แอนดรูส์” (Karen Andrews) ที่ออกมาย้ำเตือนชาวออสซีทั้งหลายไว้ด้วยว่า “ให้ตื่นตัวแต่อย่าถึงกับต้องแตกตื่น” อะไรทำนองนั้น ซึ่งก็ต้องถือเป็นคำเตือนที่จะฟังหูซ้ายแล้วปล่อยให้ทะลุออกหูขวาไปเรื่อยคงมิได้ เนื่องจากช่วงระหว่างนี้...บรรดา “เรือรบ” ของบรรดาประเทศมหาอำนาจ ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ไปจนเยอรมนี ฯลฯ ต่างถูกกำหนดเป้าหมาย จุดมุ่งหมาย ให้ต้องแล่นไป-แล่นมาในทะเลแถบนี้ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
อย่างไรก็ตาม...คงไม่ใช่แต่เฉพาะในแถบ “ทะเลจีนใต้” เท่านั้น ที่ชักร้อนผ่าว ร้อนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะแถบ “ทะเลอาหรับ” หรือแถวๆ อ่าวเปอร์เซีย ก็น่าจะร้อนฉ่า หรือชักเดือดปุดๆ ยิ่งเข้าไปทุกที ล่าสุด...เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง (25 เม.ย.) เรือบรรทุกสินค้า หรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่าน ที่แล่นอยู่แถวน่านน้ำเลบานอน ก็ถูก “เครื่องบินโดรน” ของผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่ประสงค์ร้ายอยู่แล้วแน่ๆ สอยไปอีกลำหนึ่ง หลังสอยกันไป-สอยกันมา ระหว่าง “เรืออิหร่าน” กับ “เรืออิสราเอล” ไม่รู้จะกี่ลำต่อกี่กำลังเข้าไปแล้ว นับจากต้นปีที่ผ่านมา และถ้าฟังจากคำพูด-คำจา ของผู้นำทางทหารอิหร่าน “พลเอกโมฮัมหมัด บาเกรี” (Mohammad Bagheri) ที่ว่าเอาไว้ประมาณว่า “เราจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น...กับเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่เรารู้-หรือไม่รู้ว่าใครทำ แต่เราคงเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องให้บทเรียนที่สาสมแก่อิสราเอลเอาไว้มั่ง” อันนี้...ก็น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ยังไงๆ...รายการ “ล้างแค้น-เอาคืน” แบบลูกผู้ชายอีก 10 ปีล้างแค้นก็ไม่สาย หรือแบบหนังจีนกำลังภายใน คงต้องระเบิดเถิดเทิงกันในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือแบบที่โรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์อิหร่าน (Natanz) โดนวินาศกรรมไม่นาน แต่โรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์อิสราเอล (Dimona) ก็หวิดๆ ถูกจรวดซีเรีย ถล่มใส่ไปเมื่อวัน-สองวันนี้ อะไรทำนองนั้น...
ยิ่ง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอิสราเอล อย่างคุณพ่ออเมริกายังคงส่ง “เรือรบ” ไปป้วนๆ เปี้ยนๆ อยู่ในพื้นที่แถบนี้ ก็ยิ่งก่อให้เกิดความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ต่อเรือเร็ว เรือลาดตระเวนของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) จนแทบเกิดการลงมือ ลงตีน เกิดการเอะอะโวยวาย ของเรืออเมริกันว่าถูกเรือรบอิหร่านก่อกวนเมื่อช่วงวันวาน (28 เม.ย.) ที่ผ่านมา ขณะที่พันธมิตรประเภท “อีแอบ” ของอิสราเอล อย่างซาอุดีอาระเบีย เห็นว่า...เพิ่งถูกพวก “กบฏฮูตี” ที่อิหร่านสนับสนุนถล่มเมือง “Yanbu” ที่อยู่ติดกับทะเลแดง พังพินาศฉิบหายไปในระดับไหน ประการใด ก็ยังไม่แจ้งชัดในรายละเอียด...
แต่สรุปเอาเป็นว่า...ขณะที่ “ศัตรูหลักของมวลมนุษยชาติ” อย่างเชื้อไวรัสโควิด ยังออกฤทธิ์ ออกเดช ได้โดยอิสระและเสรี หรือโดยที่บรรดามวลมนุษยชาติไม่ได้คิด “ร่วมมือ-ร่วมใจ” ลุกขึ้นสู้ให้เป็นเรื่อง เป็นราว ภายใต้การต่อสู้กับศัตรูตัวนี้ ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่ง “ความเห็นแก่ตัว” ปรากฏให้เห็นแบบชัดๆ จะจะอย่างที่ประเทศอินเดียซึ่งต้องเจอการติดเชื้อ แพร่เชื้อวันละ 3-4 แสนรายเข้าไปแล้ว ตายในกรุงนิวเดลีชนิดต้องนับเป็นนาทีต่อนาที ขาดออกซิเจน ขาดเตียงพยาบาล หรือกระทั่งขาดหลุมฝังศพเอาเลยก็ยังมี แต่ภายใต้การร้องขอ “ความช่วยเหลือ” ไปยังประเทศ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ด้วยกันแท้ๆ อย่างคุณพ่ออเมริกา นอกจากเกิดรายการอิดๆ ออดๆ ต่อการตัดสินใจยกเลิกการห้ามส่งวัตถุดิบผลิตวัคซีน การส่งออกซิเจนแค่ไม่กี่ถังไปยังอินเดีย หรือการส่งวัคซีนที่อเมริกันชนกล้าๆ กลัวๆ อย่างวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” แทนที่จะส่ง “ไฟเซอร์” ให้กับประเทศพันธมิตร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ย่อมถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า “อเมริกามาก่อน” ได้โดยชัดเจน ไม่ต่างไปจากอังกฤษนั่นแหละ ที่ระดับผู้นำประเทศ นายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง อย่าง “นายบอริส จอนห์สัน” ต้องออกมาบ่ายเบี่ยง ขออนุญาตไม่ส่งวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” ให้อินเดีย เพราะต้องเอาไว้ใช้ฉีดผู้ดีอังกฤษให้เรียบร้อยซะก่อน หรือคงต้อง “อังกฤษมาก่อน” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ด้วยลักษณะอาการทำนองนี้นี่เอง โลกมันได้ถึงร้อนขึ้นๆ น่าเกลียด น่ากลัวยิ่งขึ้นๆ โดยประการละฉะนี้...