ช่วงระหว่างนี้...คงไม่มีอะไรหนักหนา-สาหัสไปกว่าเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด” นั่นแหละทั่น!!! ไม่ว่าบ้านเขา บ้านเรา ต่างตกอยู่ในอาการอุตลุด ชุลมุน ชุลเก สับสน โกลาหล เนื่องมาจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ที่เล่นเอาประเทศใดก็แล้วแต่ ถ้าลองเผลอไป “การ์ดตก” ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะหงายท้อง หงายหลังตกเก้าอี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
อย่างไรก็ตาม...สำหรับบ้านเรานั้น คงไม่ต้องเสียเวลาพูดถึงมากมายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะแต่ละคน แต่ละราย ต่างออกมาพูดแล้ว พูดเล่า ชนิดเล่นเอาแทบหูดับ หูชาไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสาธารณสุข ช่วงนี้...น่าจะหนักหน่อย!!! เจอเข้ากับ “สากกะเบือบิน” ของผู้คนจำนวนมิใช่น้อย ไม่ว่าในโลกแห่งความจริง หรือโลกเสมือนจริง ระดับเซ็นเซอร์ราวด์ หรือรอบทิศ รอบทาง ส่วนจะสามารถประคองตัวรอด เด้งเชือก ฉากหลบ ตัดเวทีออกมาเต้นย็อกๆ แย็กๆ เหมือนดังเดิมได้หรือไม่? เพียงใด? อันนั้น...คงต้องไปติดตาม หรือไป “ระบาย” เอาเองก็แล้วกัน...
ดังนั้น...สำหรับวันนี้ คงต้องขออนุญาตเลี่ยงบาลีไปว่ากันนอกบ้าน หรือหันไปมองประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างคุณปู่ “อินตะระเดีย” ก็แล้วกัน ที่ออกจะหนักหนา-สาหัสกว่าบ้านเราไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า คือถ้าว่ากันถึงจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวันหรือภายใน 24 ชั่วโมง ช่วงวันเสาร์ (24 เม.ย.) ที่ผ่านมา ก็มาแรงแซงโค้ง เลยหน้าประเทศ “จ้าวโรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว หรือเพียงแค่วันเดียว...อีนี่แขกติดเชื้อไปแล้วถึง 346,786 คน เอาเลยนะนายจ๋า!!! เรียกว่า...ติดกันชนิดเศรษฐี อภิมหาเศรษฐีอินเดีย ต้องหาทางเช่าเหมาลำเครื่องบิน เผ่นไปอยู่ประเทศโน้น ประเทศนี้ กันอุตลุด ชุลมุนชุลเก ส่วนที่คิดจะเช่าเหมาลำมายังประเทศไทยนั้น น่าจะรับการยืนยันเป็นที่ชัดเจนไปแล้วว่า เป็น “ข่าวปลอม” ล้วนๆ แต่กระนั้นจากข่าวคราวดังกล่าว...ย่อมหนีไม่พ้นต้องส่งผลให้รัฐบาลถูก “ด่า” ไปแล้วแบบเนื้อๆ เต็มๆ...
อย่างไรก็ตาม...ถ้าว่ากันโดยภาพรวม คุณพ่ออเมริกาของเราก็น่าจะยังคงยึดตำแหน่งแชมป์โลก จ้าวโรค ในเรื่องการติดเชื้อ การตาย อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิดไว้ได้เช่นเดิม คือติดเชื้อไปแล้วประมาณ 32 ล้านคนเป็นอย่างน้อย เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 572,000 คน ในขณะที่คุณปู่อินตะระเดีย แซงหน้าประเทศแซมบ้าบราซิลขึ้นมาเป็นอันดับสอง คือติดเชื้อไปแล้ว 16.5 ล้านราย ตายไปแล้ว 189,000 คน ซึ่งถือเป็นอะไรที่หนักหนา-สาหัส เอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ออกจะมีความสำคัญมิใช่น้อย ต่อ “ยุทธศาสตร์โลก” หรือต่อความพยายามที่จะหาทางปิดกั้น สกัดกั้น มหาอำนาจคู่แข่งรายใหม่ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก อย่างคุณพี่จีน ภายในภูมิภาคเอเชีย...
คือความสำคัญในการปิดล้อม หรือหน่วงรั้ง ไม่ให้คุณพี่จีนผงาดขึ้นมาแซงหน้า คว้าตำแหน่ง “จ้าวโลก” ในด้านเศรษฐกิจหรือด้านต่างๆ ไปครองนั้น เคยทำให้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล “โอมาบ้า” หรือรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ต่างต้องหันมาให้ความสำคัญกับอินเดียอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่ว่าจะโดยการ “ปักหมุดเอาไว้ในเอเชีย” หรือโดยปรับเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามยุทธศาสตร์ “เอเชีย-แปซิฟิก” ให้กลายเป็น “อินโด-แปซิฟิก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไปจนถึงการก่อตั้งองค์กรพันธมิตรด้านความมั่นคง อย่าง “QUAD” (Quadrilateral Security Dialogue) ก็อาจถือได้ว่า...ภายใต้ความร่วมมือของ 4 ประเทศหรือนอกเหนือไปจากนั้น (QUAD Plus) ก็มีคุณปู่อินตะระเดียนี่แหละเป็นศูนย์กลาง หรือศูนย์แห่งความร่วมมือ-ร่วมใจ ในการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว...
โดยจะเห็นได้จากการประชุม “ออนไลน์” ของกลุ่มประเทศดังกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ดูจะทุ่มทุน ทุ่มเท ไปยังประเทศอินตะระเดียนั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ว่าในฐานะประเทศที่จะถูกแปรสภาพให้เป็นแหล่งรองรับการผลิต การลงทุน ของบริษัท “ห่วงโซ่อุปทาน” ที่ไหลออกมาจากประเทศจีน การเพิ่มศักดิ์ศรี บารมี ในฐานะศูนย์ผลิตและแจกจ่ายวัคซีนต่อต้านเชื้อโควิด ให้กับบรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อยในย่านนี้ ไปจนถึงการขยายความร่วมมือในด้านการทหาร การฝึก และการข่าว ฯลฯ จนอาจเรียกได้ว่า...การหาทางทำให้อินเดียและญี่ปุ่น หันไป “ชน” กับจีน ถือเป็น “หมากรุก” ตาสำคัญระดับ “รุกฆาต” เอาเลยทีเดียว!!!
แต่ก็อย่างว่า...ด้วยเหตุเพราะอินเดียดันต้องกลายเป็น “จ้าวโรค” อันดับสอง รองจากแชมเปี้ยนอย่างคุณพ่ออเมริกานั่นเอง “หมาก” ตานี้มันเลยออกจะสะเปะสะปะอยู่พอสมควร คือด้วยเหตุเพราะการติดเชื้อ แพร่เชื้อ ในประเทศอเมริกามันอาจหนักหนา-สาหัส เอามากๆ หรือจะด้วยเหตุผล กลใดก็แล้วแต่ ความพยายามที่จะ “เก็บกักวัคซีน” เอาไว้ใช้ภายในประเทศอเมริกาเอง ชนิดแทบไม่คิดช่วยเหลือเผื่อแผ่ประเทศใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย อันเนื่องมาจากความเป็น “American First” หรือเนื่องมาจาก “ความเห็นแก่ตัว” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ครั้นเมื่อคุณปู่อินตะระเดียที่หนักหนา-สาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน เพียงแค่ขอร้อง ขอวิงวอนให้รัฐบาลอเมริกันยกเลิกการหน่วงเหนี่ยว ระงับการส่งออกวัตถุดิบสำคัญๆ ที่จะนำมาใช้ในการผลิตวัคซีนแค่เพียงเท่านั้นเอง ปรากฏว่า...กลับได้รับการ “ปฏิเสธ” จากผู้ที่พยายามแสดงตัวว่าเป็นมิตรแท้ มิตรรายสำคัญของอเมริกาในภูมิภาคเอเชีย แบบชนิด “นาร๊ายณ์...นารายณ์” เอามากๆ...
แม้ว่าภาคเอกชนในอเมริกา อย่างสภาหอการค้าฯ...จะพยายามเร่งเร้าให้รัฐบาลอเมริกันนำเอาวัคซีน “เอสตร้าเซนเนก้า” ที่ตัวเองเก็บกักเอาไว้นับเป็นล้านๆ โดส มาแจกจ่ายให้กับบรรดาชาวอินเดียแบบเดียวกับที่เคยส่งให้บราซิลไปแล้วบ้าง เพราะบรรดาอเมริกันชนจำนวนไม่น้อย ที่มี “เสรีภาพ” ในอันที่จะปฏิเสธการฉีดวัคซีน อาจทำให้วัคซีนในอเมริกา “ล้นเกิน” เอาง่ายๆ แต่จะด้วยความเป็น “American First” หรือความอะไรก็แล้วแต่ จนบัดนี้...รัฐบาลอเมริกันได้แต่สัญญาว่าจะหาทางเพิ่มความช่วยเหลือให้กับอินเดียในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด โดยกำลังอยู่ขั้นตอนเจรจาและยังไม่มีรายละเอียดว่าจะช่วยกันในแบบไหน? และอย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ชาวอินตะระเดีย ออกจะ “นาร๊ายณ์...นารายณ์” เอามากๆ กับการคิดจะเป็นมิตรกับอเมริกา หรือกับการอาสาที่จะช่วย “เตะตัดขา” คุณพี่จีน กันในภูมิภาคนี้ อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
ยิ่งต้องเจ็บปวดรวดร้าวทรมานกับพิษภัยของเชื้อโควิดมากมายยิ่งขึ้นเท่าไหร่ หรือระดับที่ว่ากันว่าชาวกรุงนิวเดลี ต้องล้มตายเพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้ ในทุกๆ 4 นาทีต่อ 1 คนเอาเลยก็ว่าได้ โดยจะแรงขึ้นๆ ภายในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ผู้ที่อาจต้องเจอกับการ “ระบาย” หรือการ “สาดสากกะเบือบิน” เข้าใส่ของบรรดาชาวอินตะระเดียทั้งหลาย แบบเดียวกับรัฐบาลบ้านเรากำลังเผชิญอยู่ อาจกลายเป็นคุณพ่ออเมริกาเอาเลยก็ไม่แน่!!! ที่อะไรจะ “American First” ไปได้ถึงปานนั้น หรืออย่างที่ประเทศเล็กๆ จนๆ อย่าง “นามิเบีย” ต้องออกมาโวยวาย ว่าแม้ประเทศตัวเองจะมีจำนวนประชากรแค่ 2.5 ล้านคนเท่านั้นก็ตาม แต่ในขณะที่ประเทศซึ่งอยากดำรงรักษาความเป็น “จ้าวโลก” ซะเหลือเกิน มีวัคซีนเอาไว้ฉีดชาวอเมริกันเกินกว่าปริมาณความต้องการไปถึง 5 เท่า 6 เท่า แต่ชาวนามิเบียเพียงแค่ 128 คนเท่านั้นเอง ที่เพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 โดส หรือแค่ไม่ถึง 0.00001 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ต่างไปจากประเทศรวยๆ ไม่ว่าอเมริกาหรือพันธมิตรตะวันตก ไปจนถึงคุณทวดอิสราเอล ที่เหมาโหลฉีดแล้ว ฉีดเล่า ทั้งเก็บกัก ทั้งขึ้นราคาวัคซีน ทั้งใช้สิ่งเหล่านี้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” หรือเป็น “การทูตวัคซีน” เพื่อสนองตอบผลประโยชน์ของ “ตัวกู-ของกู” เป็นหลัก นั่นแล...