“สัจธรรม ย่อมเกิดขึ้น และปรากฏแก่ใจของผู้ที่กำลังมีความทุกข์ อันเกิดจากการเจ็บป่วย และอยู่ในภาวะใกล้ตาย” นี่คือ ความจริงที่ผู้เขียนคิดได้ในขณะที่นอนอยู่บนเตียง ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดอาการป่วยกะทันหัน ทั้งถ่ายอุจจาระเป็นเลือด และอาเจียนเกล็ดเลือดต่ำเหลือ 25 จากปกติ 35 ในผู้สูงอายุ
จากการนี้เอง ทำให้หันมาพิจารณาสังขารของตัวเอง และทำให้มองเห็นความไม่เที่ยงหรืออนิจตา ความทุกข์หรือทุกขตา และความไม่มีตัวตนหรืออนัตตา ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาได้ถ่องแท้ยิ่งขึ้นจากที่จำได้มาก่อนหน้านี้แล้ว
ครั้นออกจากโรงพยาบาลได้ฟังข่าวสังคมและการเมือง ซึ่งมีทั้งการจี้ปล้น ทำร้ายร่างกาย และขายยาเสพติด ซึ่งปรากฏในข่าวสังคม
ส่วนข่าวการเมืองก็ใช่ย่อย มีทั้งการชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับในข้อหากระทำผิดมาตรา 112 และการออกมาตอบโต้กันระหว่างนักการเมืองฝ่ายค้านกับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล
ทั้งข่าวสังคมและการเมืองฟังแล้วรู้สึกหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแท้ๆ แต่เหตุไฉนคนไทยซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ไม่ศึกษา และทำความเข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์แล้วนำไปเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตหรือว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ที่ทำตนเยี่ยงนี้ ยังไม่เคยประสบความทุกข์ จึงมองไม่เห็นสัจธรรมดังกล่าวข้างต้น
อะไรคือเหตุ คนส่วนใหญ่ในเมืองพุทธเช่น ประเทศไทยดำเนินชีวิตในแนวทางที่สวนกับคำสอนของพุทธ และถ้าจะให้คนเหล่านี้ศึกษาเรียนรู้แล้วนำไปปฏิบัติจะทำอย่างไร?
เกี่ยวกับประเด็นปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนขอเรียนว่า ตอบโดยหลักการนั้นไม่ยาก แต่จะนำไปเป็นแนวทางแก้ปัญหาในทางปฏิบัติได้จริงนั้นเป็นเรื่องยาก ทั้งนี้เนื่องจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมุ่งเน้นการปฏิบัติด้วยตนเอง และปฏิเสธการอ้อนวอนเทพเจ้า
แต่คนส่วนใหญ่นิยมชมชอบการอ้อนวอนขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อดลบันดาลให้ตนเองพ้นทุกข์ และประสบความสุขโดยที่ตนเองไม่ต้องรักษาศีล และฝึกจิตโดยการทำสมาธิเพื่อขัดเกลากิเลส เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไม่ได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตนั่นเอง
2. ตามนัยแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ ได้แบ่งคนออกเป็น 4 ประเภท โดยเปรียบดอกบัว 4 เหล่าคือ
2.1 วิปจิตัญญู ได้แก่ คนที่รู้ได้เร็วเพียงแต่ได้ฟังก็เข้าใจ โดยไม่ต้องฟังคำอธิบายขยายความเพิ่มเติม เปรียบได้กับดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำเพียงได้แสงอาทิตย์ก็เบ่งบาน
2.2 อุคฆฏิตัญญู ได้แก่ คนที่ได้ฟังคำสอนแล้วยังไม่รู้ ไม่เข้าใจในทันที แต่พอได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจแจ่มแจ้ง เปรียบได้กับดอกบัวที่ยังอยู่ใต้ระดับน้ำ และรอวันที่พ้นน้ำในโอกาสต่อไป
2.3 เนยยะ ได้แก่ คนที่ฟังคำสอนแล้วยังไม่รู้ ไม่เข้าใจต้องฟังคำอธิบายขยายความยืดยาวและซ้ำๆ จึงจะเข้าใจ เปรียบได้กับดอกบัวที่โผล่จากโคลนตมแล้ว แต่อยู่ใต้น้ำ จะต้องใช้เวลานานในการโผล่ขึ้นเหนือน้ำและเบ่งบาน
2.4 ปทปรมะ ได้แก่ คนที่ถึงแม้จะได้ฟังคำสอน และคำอธิบายขยายความซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเปรียบได้กับดอกบัวที่ยังอยู่ใต้โคลนตม ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นมากลายเป็นอาหารปลา และเต่า
ถ้านำพฤติกรรมของคนในสังคมไทยในปัจจุบันซึ่งปรากฏตามข่าว โดยเฉพาะข่าวสังคมและการเมือง ก็พอจะอนุมานได้ ส่วนที่จัดอยู่ในประเภท 1 และ 2 มีจำนวนไม่มาก
แต่ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในประเภท 3 สำหรับประเภท 4 คงจะมีจำนวนไม่มาก แต่ถึงจะไม่มากถ้าไม่ได้รับการแก้ไข และป้องกันแล้ว คนกลุ่มนี้คือต้นเหตุสังคม โดยเฉพาะปทปรมะบุคคลที่มีอำนาจในการปกครองประเทศ จะนำประเทศและประชาชนไปสู่ความหายนะ เข้าทำนองโง่ขยัน ยิ่งทำยิ่งผิด ยิ่งคิด ยิ่งหายนะ ทั้งต่อตนเอง และสังคมโดยรวม
ส่วนการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้คนไทยซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ เรียนรู้เข้าใจ และนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้นั้น จะต้องดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรับผิดชอบในการจัดการศึกษาแก่ประชาชน และองค์กรทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธร่วมกันจัดการศึกษา และให้การอบรมด้วยการจัดทำประมวลการเรียน การสอนในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของคนในแต่ละประเภท
ในส่วนขององค์กรทางศาสนา จะต้องจัดการอบรมโดยเลือกคำสอนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของบุคคลในแต่ละประเภท