คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบด้านยาแห่งยุโรป พบความเป็นไปได้ของความเชื่อมโยงกันระหว่างวัคซีนโควิด-19 จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (J&J) กับปัญหาลิ่มเลือดอุดตันในวัยผู้ใหญ่ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนตัวดังกล่าวในสหรัฐฯ แต่สนับสนุนให้เดินหน้าใช้ต่อ ระบุประโยชน์ในภาพรวมของมันมีมากกว่าความเสี่ยงใดๆ
องค์การยาแห่งยุโรป (EMA) เปิดเผยในวันอังคาร (20 เม.ย.) ว่าคณะกรรมการด้านความปลอดภัยของสำนักงานได้ข้อสรุปว่าควรมีการเพิ่มเติมคำเตือนเกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำบนสลากของวัคซีน แบบเดียวกับที่บังคับใช้กับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า
ข้อสงสัยเกี่ยวกับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ก่อความเสียหายเพิ่มเติมแก่โครงการวัคซีนของอียู ซึ่งแจกจ่ายล้าหลังสหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก สืบเนื่องจากความล่าช้าทางอุปทานเช่นเดียวกับความกังวลด้านความปลอดภัย ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอันมีต้นตอจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์บีบให้ฝรั่งเศสและอีกหลายชาติต้องกำหนดมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่
การทบทวนเคสต้องสงสัยจำนวนหนึ่ง กระตุ้นให้มีการระงับแจกจ่ายวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันในยุโรปและสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับเป็นปัญหาติดขัดล่าสุดในความพยายามจัดการกับโรคระบาดใหญ่ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกแล้วกว่า 3.1 ล้านคน จากผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 142.1 ล้านคน
แม้ผู้ควบคุมกฎระเบียบระบุพิจารณาแล้วว่าวัคซีนมีความปลอดภัย แต่พวกเขายกให้รัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปตัดสินใจเองว่าจะใช้วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันหรือไม่ ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า
“ดิฉันขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าเคสเหล่านี้พบยากมาก และเคสส่วนใหญ่มากๆ ของวัคซีนนี้คือสามารถป้องกันการเสียชีวิตและล้มป่วยอาการรุนแรงจนถึงเข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19” เอเมอร์ คุก ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานยาแห่งยุโรปกล่าว “เราจำนวนต้องชั่งใจระหว่างประโยชน์ของวัคซีนกับความเสี่ยงต่างๆ”
หลายชาตติระงับใช้หรือจำกัดการใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จากความกังวลเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
ความเคลื่อนไหวขององค์การยาแห่งยุโรป มีขึ้นหลังจากพวกเขาได้ทำการตรวจสอบทบทวนเคสลิ่มเลือดอุดตันในผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ อายุต่ำกว่า 60 ปี 8 เคส ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 3 สัปดาห์หลังจากเข้ารับการฉีดวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 8 เคสเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประชาชนมากกว่า 7 ล้านคนในสหรัฐฯ ที่ได้รับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน จนถึงวันที่ 13 เมษายน
ซาบีน สเตราส์ ประธานคณะกรรมการด้านความปลอดภัยของ EMA ยืนยันว่าหากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์สามารถช่วยผู้ฉีดฟื้นตัวจากภาวะดังกล่าวและหลีกเลี่ยงเผชิญภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เพิ่มเติม
จอห์นสันแอนด์จอห์นสันเผยว่า กำลังทำงานกับคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบต่างๆ อย่างใกล้ชิด และเน้นว่าไม่มีข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าวัคซีนของพวกเขามีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
EMA บอกว่า เคสลิ่มเลือดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสมองและช่องท้อง แบบเดียวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งก็อยู่ระหว่างการศึกษาปัญหาคล้ายกัน
“ความเป็นไปได้หนึ่งที่อาจอธิบายภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ คือการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน นำมาสู่อาการคล้ายกับอาการที่พบเห็นบางครั้งในคนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาเฮพาริน (ยาต้านการแข็งตัวของเลือด)” EMA ระบุ
จนถึงตอนนี้ทั่วโลกมีรายงานพบเจอเคสภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วมากกว่า 300 เคส
พวกนักวิทยาศาสตร์บางส่วนบอกว่า การออกแบบคล้ายกันของวัคซีนแอนตร้าเซนเนก้า กับจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน อาจมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นลิ่มเลือด โดยวัคซีนทั้งสองต่างใช้เทคโนโลยีใช้เวอร์ชันดัดแปลงของอะดีโนไวรัส ซึ่งเป็นต้นตอของไข้หวัดทั่วไป เป็นพาหะนำสไปค์โปรตีนเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์
โจนาธาน บอลล์ ศาสตราจารย์ด้านไวรัสวิทยาระดับโมเลกุลแห่งมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมในสหราชอาณาจักร ให้ความเห็นว่า ผลข้างเคียงแบบเดียวกันบ่งชี้ว่าปัญหาต่างๆ อาจเกิดจากอะดีโนไวรัสไม่ทำงาน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะประชุมในวันศุกร์ (23เม.ย.) เพื่อพิจารณาว่าจะกลับมาใช้วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันหรือไม่
(ที่มา : รอยเตอร์)