ไม่รู้ไปถึงไหนกันมั่งแล้ว...สำหรับเรื่องประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างพม่า!!! แต่ก็นั่นแหละคงต้องฆ่ากันอีกเยอะ ตายกันอีกเยอะ มันถึงจะพอหาข้อยุติ พอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาได้บ้าง โดยที่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา รวมไปถึงอาเซียนและ “จีน” ที่เห็นมีข่าวว่าเคลื่อนกำลังไปปกป้องท่อแก๊สแถวๆ ชายแดนคะฉิ่นหรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน จะมีบทบาท มี “ปฏิสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์” เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆ ในแบบไหน ในลักษณะไหน คงต้องเฝ้าติดตามและรอคอยไปอีกสักพักใหญ่ๆ...
ดังนั้น...สำหรับวันนี้ น่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศแวะไปแถวๆ “ตะวันออกกลาง” กันอีกสักเที่ยว เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา เห็นว่าเกิดการกวาดจับ กวาดล้างบรรดากลุ่มคนผู้ที่อาจคิดมิดี-มิร้าย กับ “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” แห่งประเทศจอร์แดน แบบชนิดเป็นกะบิๆ หรือไม่ต่ำกว่า 20 คนขึ้นไป และหนึ่งในจำนวนนี้...ที่ได้รับความสนใจจากบรรดาสื่อต่างๆ ทั่วทั้งโลกเอามากๆ ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “เจ้าชายฮัมซาห์ บิน ฮุสเซน” (Hamzah bin Hussein) พี่-น้องต่างมารดาของ “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” ที่เคยมีฐานะเป็นถึงอดีตมกุฎราชกุมารจอร์แดนเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว (ค.ศ.2004) แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ เมื่อกษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2 ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากกษัตริย์องค์ก่อน หรือ “กษัตริย์ฮุสเซน” ที่ทรงสวรรคตไปตามสภาพ ท่านทรงตัดสินใจถอดพี่-น้องต่างมารดารายนี้ออกจากตำแหน่งมกุฎราชกุมาร แล้วหันไปแต่งตั้งลูกชายคนโตของ “เจ้าชายฮัมซาห์” คือ “ฮุสเซน” (Hussein) ให้เป็นมกุฎราชกุมารกันแทนที่...
แต่คงไม่ใช่เรื่องความระหอง ระแหง ความขัดอก-ขัดใจภายในราชวงศ์เท่านั้น เพราะสิ่งต่างๆ มันผ่านมานานแล้วเกือบๆ จะ 20 ปี แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ยังน่าจะ “พูดลำบาก” อีกนั่นแหละ ที่ทำให้เมื่อช่วงวันเสาร์ (3 เม.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง ถึงได้เกิดการการจับ กวาดล้าง บรรดาผู้คนระดับเบ้งๆ รวมทั้งสมาชิกในราชวงศ์จอร์แดนหลายต่อหลายคน ในฐานะผู้ที่พยายามก่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการ “รัฐประหาร” เพื่อโค่นล้มผู้นำจอร์แดนอย่าง “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” ให้หมดสภาพลงไปในแบบฉับพลัน-ทันที โดยสำหรับตัวของ “เจ้าชายฮัมซาห์” นั้น...เห็นว่า “ถูกกักบริเวณ” เอาไว้ในพระราชวังที่มีทหารล้อมรอบ ล้อมกรอบ ไม่อนุญาตให้ติดต่อสื่อสารกับใครต่อใครได้อีก แต่ถึงกระนั้น...ก็ยังมี “วิดีโอเทป” หลุดรอดผ่านมาทางสำนักข่าวต่างๆ ถึงการพูดจาว่ากล่าว ไปยัง “โลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย” แสดงออกถึงความไม่พออก พอใจ ต่อรัฐบาลจอร์แดนที่ “ไร้ความสามารถ” และเต็มไปด้วยการ “คอร์รัปชัน” ตามแบบฉบับบรรดา “กบฏ” ทั้งหลายนั่นเอง...
ส่วนอะไรที่เป็นสาเหตุ ต้นเหตุ ให้เกิดการจับกลุ่ม รวมตัว เกิดการคิดกบฏ คิดทำรัฐประหารขึ้นมาในประเทศจอร์แดน อันเป็นประเทศที่ออกจะสำคัญเอามากๆ ต่อ “แนวรบในตะวันออกกลาง” อย่างเป็นพิเศษ คือเป็นประเทศที่มีอาณาเขต อาณาบริเวณ ติดต่อกับประเทศสำคัญๆ ในตะวันออกกลางอย่างอิสราเอลและพื้นที่เขตเวสต์แบงก์ ซีเรีย อิรัก และซาอุดีอาระเบียเป็นพื้นที่ที่กองทัพอเมริกัน ต้องขอส่งทหารไปประจำการและยังคงมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 3,145 คน ตามตัวเลขเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา เป็นพื้นที่ที่ถูกนำไปใช้ในการฝึก หรือการติดอาวุธให้กับบรรดาผู้ที่เคย “ป่วน” ตะวันออกกลางมาแล้วเป็นแถบๆ นั่นก็คือพวก “ไอซิส-ไอซิล” (ISIS-ISIl) อะไรประมาณนั้น อันนี้...คงต้องไปวิเคราะห์เจาะลึกกันเอาเองก็แล้วกัน เพราะโดยข่าวคราวของบรรดาประเทศในตะวันออกกลางทั้งหลาย ออกจะเป็นอะไร “ปิดลับ” ไม่ค่อยมีใครอยากจะพูด จะจา หนักไปทางชอบ “อมเชาวริน” กันซะเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่เรื่องการจับ การควบคุมตัวผู้นำกบฏ อย่าง “เจ้าชายฮัมซาห์” ทางการจอร์แดนก็ยังออกไปทางอ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายๆ ยังมี “สากกะเบือ” คาปากอยู่ประมาณด้าม สองด้าม เป็นอย่างน้อย...
แต่เอาเป็นว่า...จะถือเป็นเพียงเรื่อง “ภายใน” ของจอร์แดน หรือของสมาชิกราชวงศ์ไปซะทั้งหมด ก็คงลำบากอีกนั่นแหละ เพราะถ้าดูจากบรรดาผู้คนที่ถูกจับกุม กวาดล้างในคราวนี้ในจำนวน 20 คนที่ว่า อย่างน้อย...มีอยู่ 2 คนที่น่าสนใจเอามากๆ คือสมาชิกราชวงศ์อย่าง “Sharif Hassan Ben Zaid” และอดีตรัฐมนตรีคลัง “Bassem Awadallah” ที่ต่างก็เคยเป็นทูตเป็นตัวแทนของจอร์แดน ประจำราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียไปด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่าหลัง “รัฐประหารคุด” หรือหลังจากความล้มเหลวของพวกกบฏ ไม่ว่าซาอุฯ บาห์เรน อียิปต์ รวมไปถึงคุณพ่ออเมริกา จะออกมาแถลงให้ความสนับสนุนผู้นำจอร์แดน อย่าง “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” อย่างแข็งขันเพียงใดก็ตามที แต่ไอ้เรื่องแบบนี้ ทำนองนี้ ยังไงๆ...ย่อมต้องถือเป็นเรื่องประเภท “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” นั่นแหละทั่น!!! คือจะไปมองกันแบบทื่อๆ ดื้อๆ แบบตรงไป-ตรงมา ไม่น่าจะได้...
เพราะก่อนหน้าจะเกิดเหตุกบฏ เหตุรัฐประหารคราวนี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ผู้นำจอร์แดนอย่าง “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่2” นั้น ท่านทรงแสดงออกถึงความไม่พึงพระทัย ไม่ค่อยพออก พอใจ ต่อเรื่องราวหลายต่อหลายเรื่องใน “แนวรบตะวันออกกลาง” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความพยายาม “ผนวกดินแดนเวสต์แบงก์” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิสราเอลอย่างเป็นทางการ ที่ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ด้วยการสนับสนุนช่วยเหลือจากรัฐบาลอเมริกัน กะจะเอาให้จงได้ ไม่ไล่-ไม่เลิก หรือไม่คิดจะประนีประนอมกับใครโดยเด็ดขาด รวมทั้งเรื่อง “แผนสันติภาพ” หรือ “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ของลูกเขยอดีตประธานาธิบดีอเมริกันคนก่อน ที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากการกลืนชาติ กลืนดินแดนชาวปาเลสไตน์ ที่ต้องหลบลี้หนีภัยเข้ามาอาศัยใบบุญอยู่ในประเทศจอร์แดนไม่ต่ำกว่า 600,000 คนเป็นอย่างน้อย นับจากถูกยึดบ้าน ยึดเมือง โดยกองทัพอิสราเอลนั่นเอง...
หรือเรื่องข่าวคราวการคิดจะย้าย “ศาสนสถาน” ที่สำคัญเป็นอันดับ 3 ของโลกอิสลาม คือ “โดมแห่งศิลา” (The Dome of the Rock) และ “มัสยิดอัล-อักซา” (Al-Aqsa Mosque) ออกจากภูเขาวิหาร หรือจากอาณาเขตกรุงเยรูซาเล็มที่ถูกถือเป็น “เมืองหลวง” อิสราเอลไปแล้วอย่างเป็นทางการโดยคุณพ่ออเมริกา ไปประกอบขึ้นมาใหม่ในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ในฐานะหนึ่งประเทศอิสลามที่ร่วมดูแลศาสนสถานแห่งนี้ ทำให้ “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” ทรงพระอึดอัด ขัดข้องใจมิใช่น้อย จนแม้แต่เรื่อง “ไอซิส-ไอซิล” ก็ตามที หลังจากที่ถูก “พันธมิตรฝ่ายตรงข้าม” กับคุณพ่ออเมริกา อย่างรัสเซีย-อิหร่าน-อิรักและซีเรีย ร่วมกันบดขยี้จนต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจไปอยู่แถวๆ ประเทศลิเบีย ก็โดยคำพูด คำตรัส หรือคำเตือนของ “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” แห่งจอร์แดนอีกนั่นแหละ ที่ได้ทรงพยายามชี้ให้เห็นถึงฉากสถานการณ์ล่าสุด ว่าบรรดาพวก “ไอซิส-ไอซิล” ทั้งหลาย ยังพยายามฟื้นตัว ฟื้นกำลัง โดยถูกจัดส่ง ถูกลำเลียง จากประเทศลิเบีย กลับมายังประเทศซีเรีย แถวๆ จังหวัด “อิดลิบ” (Idlib) อันเป็นสมรภูมิที่ยังคงต้องยื้อแย่งกันระหว่างรัฐบาลซีเรีย ตุรกี และคุณพ่ออเมริกาจนตราบเท่าทุกวันนี้...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่เลยทำให้ต้องวิเคราะห์เจาะลึก ต้องแปลความ ตีความถึงเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในประเทศจอร์แดน อย่างความพยายามก่อรัฐประหาร หรือก่อกบฏกันให้ละเอียดรอบคอบพอสมควร เพราะไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตามแต่ แต่เรื่องใหญ่ เรื่องโตระดับนี้ จะมองกันแบบดื้อๆ ทื่อๆ คงไม่น่าจะได้ เหมือนอย่างการ “รัฐประหารคุด” ที่ตุรกี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” ลงไปได้ แต่ก็สามารถส่งผลให้หนึ่งในประเทศสมาชิก “นาโต้” อย่างตุรกี ที่เคย “ยิงเครื่องบินรัสเซีย” ไปหมาดๆ ดันพลิกกลับตีลังกากลับประมาณ 360 องศา หันมาเป็นหนึ่งในพันธมิตรรายสำคัญเพื่อร่วมฟื้นฟูสันติภาพในประเทศซีเรีย ร่วมกับรัสเซียและอิหร่านซะเฉยเลย!!! ด้วยเหตุนี้...ใครที่อยากปวดหัว เวียนเฮด ใครที่ชอบคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย คงต้องไปวิเคราะห์ เจาะลึก ไปตีความ แปลความกันเอาเองก็แล้วกัน…