วันนี้...สงสัยคงต้องแวะกลับมาแถวๆ ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างพม่า หรือเมียนมา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธเพราะมันออกจะ “เหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” ซะเหลือเกิน สำหรับทหารพม่า เผด็จการพม่า ต่างไปจากบ้านเราแบบชนิดหน้ามือกับหลังตีน คือของเรานั้น...ยิ่งประท้วง “ตำรวจ” ยิ่งเจ็บ หัวใจวาย หัวร้างข้างแตก ไปแล้วไม่รู้กี่รายต่อกี่ราย แต่สำหรับพม่าที่ไม่ว่า “พระ” หรือ “ทหาร” ต่างทั้งยาว ทั้งใหญ่ กว่าพี่ไทยทั้งหลายไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ก็คงหนีไม่พ้น “ประชาชนผู้บริสุทธิ์” นั่นแหละทั่น!!! ที่ตายไปแล้วกว่าครึ่งร้อย ติดคุก ติดตะราง อีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พัน ก็ยังไม่ทราบชัด...
แล้วนี่เห็นว่าช่วงวันจันทร์ (8 มี.ค.) ที่ผ่านมา...จะตายไปอีกเท่าไหร่ ก็ยังมิอาจสรุปได้ เพราะจากการนัดประท้วงครั้งใหญ่ของบรรดาคนงาน สหภาพแรงงานเมียนมา ที่รวมหัว รวมตัว ประกาศเลิกงาน หยุดงาน อย่างเป็นระบบและกิจการ แล้วตัดสินใจ “ลงถนน” ร่วมกับบรรดานักศึกษา ประชาชน ครู พระ แพทย์ พยาบาล ไปจนพนักงานธนาคาร ฯลฯ แต่เห็นว่าถูก “กระสุนจริง” ไม่ใช่ “กระสุนยาง” ตายไปแล้ว 2 ที่เมือง Myitkyina ส่วนที่เมืองมัณฑะเลย์ ย่างกุ้ง และอีกไม่รู้กี่เมืองต่อกี่เมือง ที่คงต้องเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับบรรดาพวกทหารที่สุดเหี้ยม แสนเหี้ยม ไปอีกไม่รู้กี่เดือน กี่ปี ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงจะบรรเทาเบาบาง คลี่คลายสู่สภาวะปกติ หรือกลับมาสู่ความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์ ได้แบบจริงๆจังๆ...
แต่อย่างไรก็ตาม...ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความชุลมุน ชุลเก ที่กำลังดำเนินไปอย่างแทบไร้ความหวังและไร้จุดหมาย มันก็ออกจะมีอะไรที่ “แปลกๆ” หรือที่น่าคิด สะกิดใจอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นข่าวคราวที่อาจต้องเช็กไป-เช็กมาอีกสัก 10 รอบ หรือ 20 รอบเป็นอย่างน้อย นั่นคือข่าวที่สำนักข่าว “รอยเตอร์” และอีกหลายต่อหลายสำนัก รายงานตรงกันและเป็นไปในแนวเดียวกัน ถึงการออกมาแสดงบทบาท ออกมาให้ข่าว ของ “นักล็อบบี้ยิสต์” ชาวแคนาดาเชื้อสายอิสราเอลรายหนึ่ง คือ “นายอารี เบน-เมนาเช” (Ari Ben-Menashe) ที่อ้างว่าตัวเองได้รับการ “ว่าจ้าง” จากทหารพม่า อย่าง “พลเอกMya Tun Oo” มาก่อนหน้านี้ ให้ทำหน้าที่ประสานงานนำตัวชาวมุสลิมพม่า หรือชาว “โรฮิงญา” ที่เคยอาศัยอยู่แถบๆ รัฐยะไข่และหนีไปเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในบังกลาเทศ ให้กลับมาปักหลัก ปักฐาน อยู่ในพม่าได้ดังเดิม โดยมีบรรดาประเทศมุสลิม อย่างซาอุดีอาระเบียและยูเออีให้ความสนับสนุนอีกด้วยต่างหาก...
และโดยคำพูด คำจา ที่ออกจะน่าคิด สะกิดใจ ของล็อบบี้ยิสต์รายนี้ ก็คงเป็นเรื่องที่พยายามบ่งชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันทหารหรือเผด็จการพม่านั้น ชักไม่ค่อยชอบใจ สบายใจต่อความสนิทสนมกลมเกลียวกับมหาอำนาจรายใหม่อย่างประเทศจีน อย่างชนิดเป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมามั่งแล้ว หรือเห็นว่า “รัฐบาลพลเรือน” ของ “นางอองซาน ซูจี” ซะอีกต่างหาก ที่ชักจี๋ๆ จ๋าๆ กับคุณพี่จีนจนเกินไป อันทำให้บรรดาทหารเหล่านี้เริ่มรู้สึกเสียวๆ เริ่มอยากจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ ด้วยการ “ตีตัวออกห่าง” จากจีน แล้วหันไปยกระดับความสัมพันธ์กับคุณพ่ออเมริกากันแทนที่??? หรือ “เพราะพวกเขาไม่อยากเป็นหุ่นของจีนอีกต่อไป” ???...???...???
จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ...อันนี้คงพูดลำบาก เพราะโดยบุคลิกลักษณะ โดยตัวตนของ “นายอารี เบน-เมนาเช” นั้น ทำให้ไม่ว่าคำพูด คำจา ใดๆ ก็ตาม คงหนีไม่พ้นต้องเอา “ห้าหาร” หรือ “สิบหาร” ไปโดยตลอดนั่นแหละ เพราะโดยประวัติความเป็นมาของนักล็อบบี้ยิสต์รายนี้ ต้องเรียกว่า...ออกจะน่าขนลุก ขนพอง น่าสยดสยองอยู่พอสมควร คือเป็นชาวยิวที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา ในประเทศศัตรูคู่กัดของอิสราเอล คือประเทศอิหร่าน จนเคยมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอลมาก่อนหน้านั้น แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็มิอาจทราบได้ จึงออกทำมาหารับประทานด้วยการเป็น “พ่อค้าอาวุธ” โดยไปปักหลัก ปักฐาน อยู่ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา และเมื่อค้าไป-ค้ามา ก็เคยถูกทางการสหรัฐฯ รวบตัวในข้อหาพยายามขายเครื่องบิน 3 ลำ ให้กับประเทศอิหร่านที่ถูกอเมริกาแซงชั่นอยู่ในขณะนั้น เมื่อช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1989-1990 แต่ก็ติดคุกแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง ทางการอเมริกันก็ปล่อยตัวเป็นอิสระ เสรี ออกมาเล่นบทเป็นล็อบบี้ยิสต์ได้แบบเต็มสูบ เต็มด้าม ถึงขั้นเคยเล่นบทเป็น “ตัวแทน” ของ “นายโรเบิร์ต มูกาเบ” (Robert Mugabe) สุดยอดเผด็จการแห่งประเทศซิมบับเว รวมทั้งเผด็จการซูดาน ที่ทั้งเถื่อน ทั้งถ่อย ไม่น้อยไปกว่าเผด็จการพม่ามากมายสักเท่าไหร่นัก...
คือเป็นอะไรที่จะไป “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” ไปซะทีเดียวนั้น...ก็ออกจะลำบากอยู่พอสมควร หรือคงต้องฟังหู-ไว้หูไปโดยตลอด ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคำพูด คำจา เกี่ยวกับเรื่องพม่านั้น ต้องถือเป็นคำพูดที่อาจส่งผลกระทบต่อ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคง” หรือต่อ “ภูมิรัฐศาสตร์” ของสองอภิมหาอำนาจอย่างคุณพ่ออเมริกาและคุณพี่จีน แบบชนิดเน้นๆ เนื้อๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากพวกเผด็จการพม่า “คิด” อย่างที่ล็อบบี้ยิสต์รายนี้ “พูด” ออกมาแล้วล่ะก็!!! เหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในประเทศพม่า ย่อมมีสิทธิ์ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ หนักซะยิ่งมหากาพย์รามเกียรติ์ของอินตะระเดีย หรือมหากาพย์อีเลียด-โอดิสซีย์ ของชาวกรีก ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า เพราะด้วยภูมิรัฐศาสตร์ หรือความเป็นจุดยุทธศาสตร์ของพม่านั้น ย่อมสามารถส่งผลกระทบต่อระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับโลก อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย ไม่ว่าต่อการ “สกัดกั้น” ทางออก ทางไป ของคุณพี่จีนในมหาสมุทรอินเดีย ต่อการรวมตัวเป็น “พันธมิตรสี่เหลี่ยมด้านเท่า” (QUAD) ของอเมริกา-อินเดีย-ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ที่คงต้องมีอะไรมากไปกว่าการแจกเหรียญตราและสายสะพายให้บรรดาพันธมิตรในแต่ละราย การสร้างความระส่ำระสายให้กับ “ระเบียงเศรษฐกิจ BCIM” (Bangladesh-China-India-Myanmar Corridor) อันเป็นเส้นทางที่จะทอดยาวไปสู่เมืองท่า “Gwadar” ในปากีสถาน หรือท่าเรือ “Piraeus” ในประเทศกรีซ ตามแผนที่ แนวทาง แห่ง “โครงการเปลี่ยนโลก” อย่างโครงการ “One Belt, One Road” นั่นแล...
ดังนั้น...นอกจากต้องเอา “ห้าหาร” หรือ “สิบหาร” ต่อคำพูด คำจา ของผู้ที่สุดแสนจะพล็อบๆ แพล็บๆ อย่าง “นายอารี เบน-เมนาเช” แล้ว คงหนีไม่พ้นต้องหันไปจับตา ไปดูกิริยาอาการของประเทศมหาอำนาจรายใหม่ที่มีความเกี่ยวข้อง พัวพันกับสถานการณ์ความเป็นไปในพม่ามาตั้งแต่ครั้งการก่อรัฐประหาร “8-8-88” หรือเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว อย่างคุณพี่จีนนั่นแหละเอาไว้ให้ละเอียดและประณีต ชนิดอาจต้องหยิบมา “ชั่งน้ำหนัก” กันแบบชนิด “คำต่อคำ” ว่าจะคิดเห็นเป็นประการใดกับความยุ่งเหยิง ยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายโหง ตายห่า ในประเทศพม่าทุกวันนี้ ซึ่งในช่วงล่าสุด...หรือเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (7 มี.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ระหว่างที่กำลังร่วมประชุม 2 สภาฯ อยู่ในเมืองจีน มุขมนตรีผู้มีฐานะไม่ต่างอะไรไปจากรัฐมนตรีเบอร์หนึ่งของจีน อย่าง “นายหวัง อี้” (Wang Yi) ก็ได้ปลีกตัวออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ และโดยคำพูด คำจา ในแต่ละคำ คงต้องเก็บเอามานั่งคิด นอนคิด ประมาณ 8 ตลบ หรือ 10 ตลบ เป็นอย่างน้อย...
เช่น ที่ระบุไว้ว่า... “การยึดอำนาจในประเทศพม่าครั้งล่าสุด ไม่ใช่เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนต้องการเห็นอย่างแน่นอน” หรือ “จีนยินดีที่จะติดต่อและสื่อสารกับ...ทุกฝ่าย!!! บนพื้นฐานของการเคารพอธิปไตยของพม่า และเจตจำนงของประชาชน เพื่อนำไปสู่บทบาทในอันที่จะสร้างสรรค์และการคลี่คลายความตึงเครียด...” นี่...ชักน่าคิด น่าสะกิดใจขึ้นมามั่งมั้ยทั่น!!! หรือถ้าจะให้น่าคิด น่าสะกิดใจ ยิ่งไปกว่านั้น ก็อาจต้องหยิบเอาคำพูดประโยคที่ว่า... “จีนเห็นพ้องต้องกันกับคำแถลงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้นำประเทศพม่า อย่างอองซาน ซูจี และประธานาธิบดีวิน มินต์ รวมทั้งนักการเมืองรายอื่นๆ” นี่...อันนี้ ต้องเรียกว่า แทบไม่ต่างอะไรไปจากแถลงการณ์ของบรรดาประเทศอาเซียนของหมู่เฮาทั้งหลาย โดยเฉพาะไม่ว่าสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ หรืออย่างน้อย...ก็ไม่ได้ออกไปทางมุ่งแต่จะ “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) เอาไว้ท่าเดียว แบบท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ “ดอน” ของเรา ที่หนักไปทางดอนเตี้ยๆ ดอนตื้นๆ ซะเป็นหลักใหญ่...