ไหนๆ เมื่อวันวาน...ก็แวบไปเถลไถลแถวๆ ตะวันออกกลาง ไปดูการถล่มซีเรียของกองทัพอเมริกันภายใต้การบัญชาการของ “ผู้เฒ่าโจ” เป็นครั้งแรก วันนี้ก็เลยขออนุญาตตุหรัดตุเหร่ต่อไปอีกสักหน่อย เพราะระหว่างที่ผู้นำอเมริกันรายนี้ ทำท่าว่าอยากกลับไปเล่นบทเป็น “พระเอก” ในกรณีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน หรือกลับไปตั้งโต๊ะ-ไม่ตั้งโต๊ะเจรจา ในเรื่องข้อตกลง “JCPOA” ซึ่ง “ทรัมป์บ้า” ได้สะบัดตูดลุกหนีไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปรากฏว่า...เมื่อช่วงวันศุกร์ (26 ก.พ.) ที่ผ่านมานี่เอง เรือขนส่งสินค้า หรือเรือบรรทุกน้ำมันอิสราเอล ก็ดันเกิดระเบิดตูมๆ ตามๆ ขึ้นมาซะดื้อๆ!!! แถวๆ ทะเลโอมาน หรือบริเวณน่านน้ำในอ่าวเปอร์เซีย...
นั่นคือเรือ “MV Helios Ray” ที่จะถูกตูมๆ ตามๆ จากใคร หน้าไหน และอย่างไร??? ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทั้งนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ไปจนนายกฯ ทางเลือกที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมอยู่ในทุกวันนี้ คือ “นายเบนนี แกนตซ์” (Benny Gantz) รวมทั้งทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น “นายกิลาด เออร์ดาน” (Gilad Erdan) ต่างหันไป “ชี้นิ้ว” ว่าต้องเป็นฝีมือของ “คู่กัดตลอดกาล” ของอิสราเอล อย่างประเทศ “อิหร่าน” อยู่แล้วแหงมๆ และนั่นย่อมส่งผลให้บรรยากาศการ “ตั้งโต๊ะ-ไม่ตั้งโต๊ะ” เจรจา ระหว่างพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอิสราเอลอย่างคุณพ่ออเมริกากับอิหร่าน ในกรณีข้อตกลง “JCPOA” ย่อมต้อง “เสียบรรยากาศ” หรือ “เสียรังวัด” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
คือการคิดที่จะเจรจา-ไม่เจรจา การทำท่าว่าอาจหวนกลับไปพูดคุยเรื่องข้อตกลง “JCPOA” กับอิหร่าน ของรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่นั้น คงต้องยอมรับว่า...ก่อให้เกิดอาการ “คันคะเยอ” สำหรับประเทศอิสราเอลมิใช่น้อย ที่อุตส่าห์ยุแยงตะแคงรั่ว ให้รัฐบาลอเมริกันชุดเก่าของ “ทรัมป์บ้า” สะบัดตูดลุกหนีจากข้อตกลงดังกล่าวไปนานแล้ว ถึงขั้นที่ผู้นำทางทหารระดับสูงของอิสราเอล “พลโทอาวีฟ โคชาวี” (Aviv Kochavi) เสนาธิการทั่วไปกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ถึงกับต้องไปเปิดอก เปิดเผยความในใจ ต่อเวทีประชุม “Tel Aviv University’s Institute for National Security Studies” เมื่อช่วงปลายเดือนมกราฯ ที่ผ่านมา ว่าถ้ารัฐบาลใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ” คิดจะกระทำการแบบผิดๆ พลาดๆ ในกรณีดังกล่าวขึ้นมาจริงๆ กองทัพอิสราเอลอาจถึงขั้นต้องหันไปคว้า “แผนชิงโจมตีก่อน” ต่อโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในอิหร่าน กลับไปวางเอาไว้บนโต๊ะ หรือกลับมาปัดฝุ่นกันใหม่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
ดังนั้น...แม้ว่าทางการอิหร่านโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ “นายซาอีด คาติบซาเดห์” (Saeed Khatibzadeh) จะออกมาปฏิเสธเสียงแข็งและอย่างเป็นทางการ ว่าอิหร่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แถมพื้นที่บริเวณดังกล่าว ถือเป็นอาณาบริเวณที่กองทัพอิหร่านให้ความสำคัญในการระวังรักษาความมั่นคงและปลอดภัย เป็นอันดับต้นๆ ก็ว่าได้ แต่ก็นั่นแหละ...มันคงไม่ช่วยให้บรรยากาศต่างๆ ดีขึ้นเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะความพยายามที่จะฉุดลากกระชากถู ให้รัฐบาลอเมริกันไม่ว่าชุดไหนต่อชุดไหน ไม่ว่ารีพับลิกันหรือเดโมแครต ต้องหันไปโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชัง ต่อประเทศคู่กัดอย่างอิหร่าน อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ อาจถือเป็นความปรารถนาและต้องการอันดับแรกของรัฐบาลอิสราเอลเอาเลยก็ว่าได้...
ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่จะเห็นการเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ จี๋ๆ จ๋าๆ ระหว่างรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่กับรัฐบาลอิหร่าน ไม่ว่าเรื่อง “JCPOA” หรือเรื่องใดๆ ก็แล้วแต่ น่าจะพับฉาก เก็บฉาก ไปได้เลย ไม่ว่ารัฐบาลของ “ผู้เฒ่าโจ” คิดจะเดินตามแนวทางของ “โอมาบ้า” หรือของ “ทรัมป์บ้า” ก็แล้วแต่ สุดท้าย...ย่อมหนีไม่พ้นต้อง “บ้า...กับ...บ้าวะ” ไปด้วยกันทั้งสิ้น และอันที่จริงการหันไปเล่นบท “ดาวร้าย” ด้วยการเปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งแรก โดยไม่จำเป็นต้องสนใจถึงการล่วงละเมิดน่านฟ้า ละเมิดอำนาจอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศ ในการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดไปถล่มชายแดนซีเรียเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็น่าจะถือเป็นการยืนยัน นั่งยัน และนอนยันได้แล้วว่า รัฐบาลอเมริกันชุดใหม่นั้น...คงต้องรับบทเป็น “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” เช่นเดิมอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เหมือนอย่างที่คอลัมนิสต์เยรูซาเล็ม โพสต์ “นายSeth J. Frantzman” ได้สรุปไว้ในข้อเขียน เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่า “Israel-US attack against Iran in Syria pave way for increased cooperation” หรือการผนึกกำลังรวมตัวเพื่อถล่มอิหร่าน หรือผู้สนับสนุนอิหร่านในดินแดนซีเรีย ไม่ว่ากองกำลัง “Kataib Hezbollah” หรือ “Kataib Sayyid al-Shuhada” ของรัฐบาลอเมริกันชุดใหม่และกองทัพอิสราเอลนั้น ถือเป็นการปูทางไปสู่ความร่วมมือที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ เผลอๆ...อาจไม่ใช่แต่เฉพาะอาณาบริเวณซีเรียเท่านั้น แต่ยังอาจลุกลามไปถึงเลบานอนในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลก็เป็นได้...
ล่าสุด...ก็เห็นว่าเพิ่งถล่มกันไปเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (28 ก.พ.) ที่ผ่านมา ด้วยการสาดบ้องข้าวหลามยักษ์จากที่ราบสูงโกลันไปยังพื้นที่ด้านใต้ของกรุงดามัสกัส โดยเฉพาะตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เป็นต้นมา ขณะที่กองทัพอิสราเอลถล่มกองกำลังอิหร่านในซีเรียไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ครั้ง กองทัพอเมริกันก็ไม่คิดจะน้อยหน้า ถล่มกองกำลังอิหร่านหรือผู้ที่สนับสนุนอิหร่านในซีเรียไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,500 ครั้ง สิ่งเหล่านี้...จึงทำให้การคิดเล่นบทเป็น “พระเอก” ของรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” ในกรณีข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน จึงไม่อาจ “พลิกหลังตีน” ให้กลับมาเป็น “หน้ามือ” ได้เลย เพราะแม้แต่การคิดจะเล่นงานพันธมิตรรายใหม่ของอิสราเอล อย่างซาอุดีอาระเบีย ถึงจะมีการเปิดเผยเอกสาร รายงานลับ ของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติอเมริกัน สรุปว่ามกุฎราชกุมารซาอุฯ เจ้าชาย “MbS” กระทำการ “ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน” อย่างร้ายแรง หรือเกี่ยวข้องพัวพันกับการ “ฆ่าหั่นศพ” “นายจามาล คาช็อกกี” อย่างมิอาจปฏิเสธ แต่ถ้าฟังจากน้ำเสียงของเลขาฯ ทำเนียบขาว “นางJen Psaki” คราวล่าสุด สรุปว่า...อเมริกาคงไม่คิดงัดมาตรการ “แซงชั่น” ใดๆ มาเล่นงานซาอุฯ เหมือนอย่างที่เคยเล่นงานประเทศอื่นๆ มาก่อนหน้านั้น แต่จะหันไปใช้มาตรการที่ได้ผลมากกว่า ซึ่งจะเป็นอะไรก็ยังมิอาจสรุปได้???
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลอเมริกันไม่ว่าชุดไหนต่อชุดไหน กับรัฐบาลไซออนิสต์ของอิสราเอลนั้น คงไม่ต่างอะไรไปจากความสัมพันธ์ระหว่างศัตรูตัวสำคัญของ “พระเมสสิยาห์” ที่ถูกเรียกขานในนาม “โกก” (Gog) กับ “มาโกก” (Magog) ตามเนื้อหาสาระ ใน “พระคัมภีร์ไบเบิล” ของชาวคริสต์ “พระคัมภีร์อัล-กุรอ่าน” ของชาวอิสลาม หรือระหว่างผู้ที่ถูกเรียกขานในนาม “โคคา” (Koka) กับ “วิโคคา” (Vikoka) ศัตรูตัวร้ายของ “พระกัลกี” ใน “พระคัมภีร์กัลกี ปุราณะ” ของชาวอินตะระเดียนั่นแหละทั่น!!! คือมันผูกกันไป-ผูกกันมา แบบเดียวกันแทบจะเป๊ะๆๆ ใครสนใจรายละเอียดคงต้องไปค้นคว้าหาความรู้กันเอาเองก็แล้วกัน แต่สรุปเอาเป็นว่า...วิธีการที่จะต่อสู้ เอาชนะ การผนึกรวมตัวของกลุ่มคนเหล่านี้ คงไม่ถึงกับง่ายดาย ไม่ถึงกับปอกกล้วยเข้าปากมากมายสักเท่าไหร่...
เพราะอย่างที่ข้อความในพระคัมภีร์ “กัลกี ปุราณะ” บรรยายเอาไว้นั่นแหละว่า... “แม้พระศรีภควัน กัลกี จะทรงสังหารเขาทั้งสอง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่เขาก็ยังสามารถฟื้นคืนกลับขึ้นมาใหม่อีกจนได้ ถึงจะถูกตัดศีรษะ หรือสับร่างออกเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย แต่สุดท้าย...หัวและร่างกายยังคงกลับมารวมตัวและฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่ จนกระทั่ง...พระพรหมเจ้า...ต้องตรัสบอกกับพระกัลกีว่า เหตุที่ปิศาจทั้งสองมีอำนาจเช่นนี้ เพราะได้รับการประทานพรให้เป็นอมตะ จึงมีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะสังหารทั้งคู่ให้ตายได้จริงๆ คือจะต้องโจมตีในขณะที่แต่ละคนยังไม่ได้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียว และจะต้องฆ่าให้ตายในเวลาพร้อมๆ กัน” ดังนั้น...เมื่อได้รับทราบกรรมวิธีการสังหารในลักษณะเช่นนี้ การแทรกตัวของ “พระกัลกี” เข้าไปอยู่ในระหว่างกลางของปิศาจทั้งสอง แล้วใช้พระหัตถ์ซ้ายบีบคอ “โคคา” ขณะที่พระหัตถ์ขวาตอกขมับ “วิโคคา” แบบจะจะ จังๆ อันนั้นนั่นแหละ...ถึงพอจะทำให้ฉากสถานการณ์ช่วงจังหวะ “กลียุค” สามารถปิดฉากลงไปได้ และทำให้โลกทั้งโลกมีโอกาสหวนคืนกลับไปสู่การเริ่มต้นสร้างสรรค์ความดี ความงาม หรือนำไปสู่ “สัตตยายุค” ได้อีกครั้ง!!!