วันนี้...คงต้องพักเรื่อง “ม็อบเคาะหม้อ” ของเมียนมา หรือพม่า เอาไว้สักพัก แม้จะดุเดือดเลือดพล่านยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุเพราะเมื่อช่วงวันศุกร์ (26 ก.พ.) ที่ผ่านมา เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพสหรัฐฯ เขาได้ไปทิ้งบอมบ์ ทิ้งระเบิด ใส่หัวกบาลใครต่อใคร แถวๆ บริเวณพรมแดนติดต่อระหว่างประเทศซีเรียกับอิรัก หรือบริเวณจังหวัด “Deir Ez-Zor” ของซีเรีย อันอาจถือเป็น “ปฏิบัติการทางทหาร” ครั้งแรกของกองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การควบคุม บัญชาการของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ อย่าง “โจ ไบเดน” หรือ “ผู้เฒ่าโจ” อันก่อให้เกิดคำถาม-คำตอบ-และคำอธิบาย ที่ออกจะชุลมุน ชุลเก ซับซ้อนและสับสนกันไปมิใช่น้อย...
คือแม้ว่าจะสรุปกันในแบบหยาบๆ-ง่ายๆ...ว่าเป็นเพราะกองทัพอเมริกาอาจจะ “แค้นตาแม้น” ต่อใครก็ไม่รู้??? ที่ชอบสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ ใส่ฐานทัพอเมริกันในอิรัก แบบคราวแล้ว คราวเล่า โดยที่ทางการสหรัฐฯ เขาค่อนข้างเชื่อของเขาว่า ยังไงๆกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ย่อมต้องมี “คู่กัด” ของสหรัฐฯ อย่างประเทศ “อิหร่าน” หนุนหลังอยู่แล้วแน่ๆ การล่วงละเมิดน่านฟ้า ล่วงละเมิดอธิปไตย และล่วงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มผู้ที่มีสายโยงใยอยู่กับอิหร่าน รวมทั้งทหารอิหร่านเอง ที่ถูกส่งเข้าไปช่วยเหลือเฟือฟายประเทศซีเรีย ภายในพรมแดนซีเรียอย่างเปิดเผย จึงอาจถือเป็นการตอบโต้ แก้แค้น แบบชนิด “เสือล้างสิงห์-เจอลิงล้างก้น” อะไรประมาณนั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...การถล่มในคราวนี้ไม่เพียงแต่ถือเป็นการละเมิดน่านฟ้า ละเมิดอธิปไตย และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แบบเห็นๆ จะจะ ยังอาจถือเป็นการช่วยปกป้องและฟื้นฟู บรรดาพวก “ผู้ก่อการร้าย” ที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกเคยพยายามหนุนช่วย เพื่อให้หาทางโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย หรือ “ระบอบปกครองอัล-อัสซาด” ให้พังพินาศลงไปให้จงได้ หรือเท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นว่า แนวนโยบายต่างประเทศของอเมริกาโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมกี่มาก-น้อย ยังคงมุ่งเล่นงานอิหร่านส่งเสริมและสนับสนุนอิสราเอล อันอาจเป็นอะไรที่ออกจะขัดแย้งกับกิริยาท่าที ที่รัฐบาลอเมริกาชุดใหม่พยายามนำเสนอว่าอาจหันไปประนีประนอม หรืออาจหวนกลับไป “ตั้งโต๊ะเจรจา” กับประเทศอิหร่าน ในเรื่องโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์กันอีกรอบ ทำนองนั้น...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้เกิดการพูดจา ว่ากล่าว แบบสับสน เซ็งแซ่ ชุลมุน ชุลเกกันอยู่มิใช่น้อย ว่าสุดท้ายแล้ว...รัฐบาลชุดใหม่ หรือยุคใหม่ของอเมริกาจะ “เอาอะไรกันแน่!!!” จะชักเข้า-ชักออก จะถอกไป-ถอกมากันในแบบไหนและอย่างไร??? เพราะในด้านหนึ่ง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านก็อาจเล่นบทคล้ายๆ “พระเอก” อยู่พอสมควรเหมือนกัน ไม่ว่าการแสดงกิริยาท่าที ว่าอาจหวนกลับไปเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์อิหร่านกันอีกรอบ หรือการสร้างแรงกดดันให้กับพันธมิตรรายสำคัญของอเมริกาและอิสราเอลในการต่อต้านอิหร่าน อย่างซาอุดีอาระเบีย ถึงขั้นยอมเปิดเผย “รายงานลับ” ของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ที่ตั้ง “ข้อกล่าวหา” มกุฎราชกุมารซาอุฯ เจ้าชาย “MbS” เอาไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าย่อมมีส่วนรู้เห็นกับการ “ฆ่าหั่นศพ” อดีตนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ “นายจามาล คาช็อกกี” ในสถานทูตซาอุฯ ประจำตุรกีอยู่แล้วแหงมๆ อันถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชนิดร้ายแรงเอามากๆ ชนิดชาวอเมริกันไม่ว่าเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ต่าง “รับไม่ได้” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
รวมทั้งระหว่างที่ยกหูโทรศัพท์ไปเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับประเทศซาอุฯ ในหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน กินเวลาร่วม 2 ชั่วโมง ว่ากันว่า “ผู้เฒ่าโจ” ท่านก็ไม่คิดพูดจากับ เจ้าชาย “MbS” โดยตรง แม้ว่ารู้ทั้งรู้ว่ามกุฎราชกุมารรายนี้ กำลังขึ้นเป็นกษัตริย์ซาอุฯในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ แต่กลับหันไปพูดจา ว่ากล่าวกับคนแก่ คนชรา ที่ออกจะเริ่มเฟอะๆ ฟะๆ กันมั่งแล้ว อย่าง “กษัตริย์ซัลมาน” กันแทนที่ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความร่วมมือ-ร่วมใจของพันธมิตรอเมริกาในตะวันออกกลาง ในการต่อต้านและกดดันอิหร่าน โดยเฉพาะช่วงล่าสุด...ที่ได้มีการเกาะกลุ่มรวมตัว ระหว่างอิสราเอล-ซาอุฯ-บาห์เรน และยูเออีกันใน “ทางทหาร” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การหันมาเล่นบทเป็น “พระเอก” ในเรื่องสิทธิมนุษยชนกับซาอุฯ มันจึงเป็นอะไรที่ “ไปด้วยกันไม่ค่อยจะได้” กับการที่ต้องหันไปเล่นบทเป็น “ดาวร้าย” ในกรณีล่วงละเมิดอธิปไตย กฎหมายระหว่างประเทศในซีเรีย รวมถึงการปกป้อง ดูแล พวก “ผู้ก่อการร้าย” ที่อาจฟื้นคืนตัวขึ้นใหม่ได้ทุกเมื่อ...
แต่ก็นั่นแหละ...การรับบทเป็น “ตัวโกง” ไปพร้อมๆ กับการเล่นบทเป็น “พระเอก” อาจต้องถือเป็น “แก่นนโยบาย” ของรัฐบาลชุดใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ” อย่างมิอาจปฏิเสธ เช่น ด้านหนึ่ง...ต้องหวนกลับไปสมัครเป็นสมาชิกสภาสิทธิมนุษยชนระดับโลก (The United Nations Human Rights Council) ของสหประชาชาติ ที่ผู้นำคนก่อนอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้สะบัดตูดลุกหนีไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะไม่พอใจต่อการประณาม เหยียดหยาม อิสราเอลในกรณีปาเลสไตน์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็กลับต้องเห็นชอบ เห็นควรด้วยต่อการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม อันถือเป็นการรับรองอำนาจอธิปไตยของอิสราเอลเหนือพื้นที่แห่งนี้ไปในตัว แม้จะขัดกับมติสหประชาชาติเพียงใดก็แล้วแต่ รวมทั้งการเปิดไฟเขียวให้กับการยึดครองที่ราบสูงโกลันของซีเรีย โดยอิสราเอลซะเฉยเลย ฯลฯ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยความเป็น “ลัทธิจักรวรรดินิยม” หรือความเป็น “จักรวรรดิอเมริกา” สุดท้าย...รัฐบาลของ “ผู้เฒ่าโจ” หนีไม่พ้นต้องเล่นบทเป็น “ตัวโกง” หรือ “ดาวร้าย” แบบเดียวกับ “ทรัมป์บ้า” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็คงต้องพร้อมที่จะหันมาเป็น “พระเอก” ในบางเรื่อง บางราว เพื่อให้เกิดความหล่อ ความเก๋ โดยเฉพาะสำหรับความพยามควานหาบรรดา “พันธมิตร” ทั้งหลาย เพื่อเอามาสู้ มาต่อต้าน คัดค้านและปฏิเสธ บทบาทของบรรดา “พระเอก” รายใหม่ ที่กำลังมาแรงแซงโค้งยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจีน-รัสเซีย-หรืออิหร่านก็แล้วแต่ เหมือนอย่างคำประกาศของผู้นำอเมริกาในเวทีประชุม “MSC” (Munich Security Conference) เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่า จะต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ตามมาตรฐานอเมริกาและยุโรป หรือ “มาตรฐานตะวันตก” นั่นแหละ ในการสร้างความร่วมมือ-ร่วมใจ เพื่อเอาชนะผู้ที่ลุกขึ้นมา “ท้าทาย” ในแต่ละรายให้จงได้...
โดยเฉพาะเมื่อความเป็นประชาธิปไตยในลักษณะที่ว่า มันยังต้องผนวกรวมเอาเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” เข้าไว้ด้วย การเล่นบทเป็น “ผู้ร้าย” ไปพร้อมๆ กับความเป็น “พระเอก” จึงอาจถือเป็น “แก่นนโยบายต่างประเทศ” ของรัฐบาลอเมริกันยุคนี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย เหมือนอย่างที่คอลัมนิสต์ “Global Times” ของเมืองจีน อย่าง “นายYu Jincui” เขาสรุปเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า “US, in relative decline, retake human rights tool to unite allies” หรือความพยายามที่จะนำเอาสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” ตามระบอบประชาธิปไตย มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการรวบรวมพันธมิตรของตัวเอง ให้เป็นเอกภาพ เพื่อมุ่งไปสู่การต่อต้าน คัดค้าน และปฏิเสธ ใครก็ตามที่ไม่ยอมศิโรราบให้กับอเมริกา จึงจำต้องเป็นไปด้วยประการละฉะนี้...แล...เทอญญ์ญ์ญ์...
ดังนั้น...ไม่ว่าใครก็เถอะ คงแทบไม่ต้องเสียเวลาสับสนต่อความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของนโยบายต่างประเทศอเมริกายุคนี้แต่อย่างใด เพียงแค่หันไปมองถึงความเป็น “จักรวรรดินิยม” ของอเมริกาเพียงอย่างเดียวล้วนๆ ก็น่าที่จะเกิดอาการ “ตาสว่าง” ขึ้นมาได้ไม่ยากส์ส์ส์ คือแค่มอง “งบประมาณทางทหาร” ของอเมริกาในแต่ละปี เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในแต่ละราย คือขณะที่มหาอำนาจรายใหม่อย่างจีน ใช้งบฯ ในด้านนี้เมื่อปีที่แล้วไปประมาณ 261,000 ล้านดอลลาร์ รัสเซียใช้ไปประมาณ 65,000 ล้านดอลลาร์ แต่คุณพ่ออเมริการายเดียว...กดเข้าไปถึง 731,800 ล้านดอลลาร์ ตามสถิติตัวเลขของสถาบัน “Brown University’s Watson Institute” อันทำให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดทางทหารอย่างอเมริกา หนีไม่พ้นต้องเข้าไปพัวพันกับ “ปฏิบัติการทางทหาร” ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่น้อยกว่า 85 ประเทศ ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา...