ถ้าจะมีอะไรแปลกใหม่ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ คงจะมีเรื่องแหกคอกในการโหวต มีทั้งงดออกเสียงในการโหวตพรรคร่วมรัฐบาล ที่ประหลาดก็คือการงดออกเสียงให้เสนาบดีพรรคเดียวกัน ถือเป็นการหักหน้าอย่างซึ่งหน้า
การงดออกเสียง ไม่สนับสนุนพรรคร่วมมีทั้งการเอาคืนสำหรับการต่อรองผลประโยชน์ไม่ลงตัวในภาคธุรกิจ การเตรียมการแหกคอกไปหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งเป็นสภาวะปกติสำหรับการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตน
เหมาะสำหรับสุภาษิตเพี้ยน “เกิดเป็นคน ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินลงโทษ”
ช่วงนี้คงมีการซักฟอกกันในพรรคว่าเกิดเหตุไม่ดีงามเรื่องการโหวตนั้น เป็นเพราะอะไร ก็คงจะเป็นพิธีกรรมต่อเนื่องในศึกล่างูเห่าและหนอนบ่อนไส้ ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับการเมืองน้ำเน่านิรันดรแบบไทยๆ ไร้หลักการ จรรยา และคุณธรรม
เราได้เห็นคติพจน์ “หน้าด้านเท่านั้นที่จะเอาชนะทุกอย่างได้” เมื่อเสนาบดีมีมลทินแปดเปื้อนตามคำกล่าวหาของฝ่ายค้านพยายามดิ้นรนทุกทางเพื่อเอาตัวให้รอด มีทั้งตอบคำถามครึ่งเดียว โยกโย้เฉไฉไขสือ หน้าดื้อตาใส ไม่แคร์ใครจะตำหนิ
ก็บางรายหลักฐานมัดตัวแน่นอย่างนั้น ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด ก็ต้องทำเป็นลืมคำถาม หรืออย่างที่ฝ่ายค้านว่า “ถามวัวตอบควาย” อย่างไรก็ได้ ขอให้ผ่านไป
ถึงอย่างไร ในการโหวตไว้วางใจต้องมีเสียงเกินพอสำหรับคนฟากรัฐบาล ต่อให้บางคนอยู่ในสภาพเน่าอย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีฝ่ายเดียวกันหามหลบออกไปจนได้
ยิ่งครั้งนี้มีเสียงกำชับของ “หลวงลุงป้อม” กระหนาบไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย ว่าเสียงไว้วางใจต้องให้เท่ากัน ถ้าใครมีเรื่องคาใจกับใครก็ไปว่ากันภายหลัง ว่ากันอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ครั้งนี้ “หลวงลุงป้อม” ขาดความขลังไปเยอะ
ถึงได้มีเสียงโหวตแหกคอกกันอย่างที่เห็น และกำลังอยู่ในวาระไล่เบี้ยกัน!
ตัวลุงป้อมเองก็เป็น 1 ใน 10 เป้าหมายการอภิปราย ซึ่งดูสภาพการพูดจาไม่คล่องแล้ว บรรดาสาวกและกลุ่มผู้พิทักษ์มารคงต้องเฝ้าระวังให้ลุงฝ่าไปให้ได้
แต่ลุงสร้างความอัศจรรย์กลางสภาฯ ไม่ต้องอาศัยตัวช่วย ใช้คำพูดไม่กี่คำ กับเวลารวมไม่ถึง 10 วินาที ก็ผ่านไปได้ ด้วยการไม่ตอบคำถาม ข้อกล่าวหาอะไรทั้งนั้น ลุกขึ้นบอกสั้นๆ ว่าที่ฝ่ายค้านกล่าวหามาทั้งหมดนั้น “ไม่เป็นความจริง”
สร้างความฮาตึงในสภาฯ เมื่อลุงสะบัดก้นเดินเตาะแตะออกไปจากห้อง! แบบนี้ใครจะทำอะไรได้ ลุงป้อมไม่ใส่ใจเรื่องความสง่างามอะไรทั้งนั้น ขอให้ผ่านไปก็พอ
อย่างนี้ลุงป้อมทำได้ สำหรับการเมืองที่ไร้หลักการ รูปแบบที่น่าศรัทธา แต่จะไปทำในระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วไม่ได้ เมื่อมีคำถามต้องมีคำตอบให้ ฟังดูน่าเชื่อถือ เป็นการเคารพประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย เจ้าของเงินเดือนที่จ่ายให้
ถ้าไม่พร้อมที่จะตอบคำถาม หรือข้อสงสัย โดยเฉพาะในประเด็นการทุจริต ไม่ชอบการตรวจสอบ ก็ไม่ควรเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะในการเมืองระบบเลือกตั้ง แต่ลุงป้อมคงมองว่าตัวเองมาแบบไม่ธรรมดา มีบารมี ไม่ต้องให้ใครมาเลือก
การเมืองน้ำเน่าไม่คำนึงถึงความสง่างาม เกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี มีองค์ประกอบหลักคือความหน้าด้าน หน้าทน ต่อเสียงกล่าวหาก่นด่าประณามให้ได้ ยิ่งเรื่องของจิตสำนึก มโนธรรม หรือการรู้จักแยกแยะความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ยิ่งเป็นไปไม่ได้
ถ้ามีคุณสมบัติอย่างที่ว่านี้ อยู่ในการเมืองน้ำเน่าแบบไทยๆ ไม่ได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ คนดี เคารพเกียรติภูมิของตัวเองจึงเข้ามาได้ยาก ต่อให้ถูกเชิญมา สุดท้ายก็ต้องออกไป เพราะรู้ตัวดีว่าจะอยู่ทำสังฆกรรมกับพวกชั่วร้ายโกงบ้านกินเมืองไม่ได้
ยิ่งพรรคแกนนำและหัวหน้ารัฐบาลด้วยแล้ว มีพวกหลังลาย ข้าหลายเจ้า บ่าวหลายนาย ถูกกดดันให้เข้ามาสวามิภักดิ์ ยอมรับใช้นายใหม่เพื่อเอาตัวรอดจากคดีความด้วยแล้ว ภาพลักษณ์ของรัฐบาลจึงหาอะไรที่ดูแล้วสูงส่ง น่ายกย่อง ก็หายาก
พรรคฝ่ายค้านถามหา “จิตสำนึก” ของนักเลือกตั้งฟากรัฐบาลเมื่อจะลงคะแนนให้แต่ละคน ก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ คนมีจิตสำนึก มโนธรรมจะเล่นการเมืองน้ำเน่าไม่มีวันได้ดี อยู่ไม่ได้เพราะจะมีเรื่องผลประโยชน์ทุกครั้ง
การโหวตเสียงไว้วางใจจึงเป็นไปตามใบสั่ง สมาชิกพรรคห้ามคิดเอง คำว่าเอกสิทธิ์ หรือวิจารณญาณไม่เป็นองค์ประกอบของการเมืองตั้งอยู่บนผลประโยชน์ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจึงเป็นวาทกรรม เอามาใช้ในชีวิตจริงทางการเมืองน้ำเน่าไม่ได้
ลุงตู่ผู้นำรัฐบาลยังใช้ลูกอ้อนแบบเดิมที่เคยใช้หากินได้หลายรอบ “ถ้าท่านไม่รักผมไม่เป็นไร แต่ขอให้ท่านรักประเทศชาติ” อะไรทำนองนี้ เป็นคำพูดคุ้นหู
คงไม่ฉุกคิดมั้งว่าก็เพราะประชาชนรักประเทศชาติมาก ถึงไม่ต้องการรัฐบาลที่มุ่งเน้นแต่ผลประโยชน์เพื่อพวกตัวเอง และเครือข่ายทุนใหญ่ ชาวบ้านถูกทำให้เหมือนเป็นผู้อาศัยแผ่นดินอยู่ รอแต่ของแจก เงินแจก ทั้งๆ ที่เป็นเงินของประชาชน
สำหรับเสนาบดีที่ตอบคำถามไม่กระจ่าง หรือไม่ตอบ ถ้าลุงตู่เก็บไว้ ก็จะเป็นตัวถ่วง เพิ่มความเสียหายต่อภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ให้เน่ากว่าเดิม การกล่าวหาเสนาบดีทั้ง 10 คน นาน 4 วัน 4 คืนจะว่าฝ่ายค้านเอาหลักฐานเท็จมาอ้างนั้น ไม่ได้
ถ้าไม่เป็นความจริง อย่างที่ลุงป้อมว่า ก็ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าไม่จริงอย่างไร ไม่ใช่แค่การปัดสวะไปด้วยคำพูดไม่กี่คำ แบบนี้ภาษากฎหมายเรียกว่า “จำนนด้วยหลักฐาน” ยิ่งเดินหนีด้วย ถือว่าพิรุธเต็มสภาพ แต่นี่เป็นการเมืองที่ไม่ต้องรับผิดชอบ
ฉะนั้น การถามหาจิตสำนึก มีคำตอบง่ายๆ ว่า “ไม่ควรถามหาสิ่งที่ไม่มี”