ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่ “เบา-ไม่เบา” คงต้องวานให้ท่านทั้งหลายไปวินิจฉัยกันเอาเอง เพราะในแง่หนึ่งมันอาจไปเกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่อง “หม้อ” เรื่อง “ไห” อันเป็นเรื่องที่อาจนำไปสู่ความตลกโปกฮา ของบรรดาพวก “ซกม๊ก” ทั้งหลายได้ไม่ยากส์ส์ส์ โดยเฉพาะลักษณะอาการที่ออกไปทาง “ตีหม้อ” อะไรประมาณนั้น ซึ่งอาจจัดอยู่ในประเภท “ศัพท์แสลง” ตามแบบฉบับไทยๆ และออกจะน่าเกลียด น่ากลัว น่าทุเรศ มิใช่น้อย...
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะ “หม้อ” เพราะ “ไห” ไปจนถึงกระทะ กระป๋อง กะละมัง ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ได้ถูกมวลชนชาวพม่า หรือ “ม็อบพม่า” เขานำเอามา “เคาะ” หรือมา “ตี” เพื่อสร้างนิมิตหมาย หรือสร้าง “สัญลักษณ์” แห่งการต่อต้าน คัดค้าน “เผด็จการทหาร” ในประเทศพม่า ที่ตัดสินใจยึดบ้าน ยึดเมือง ยึดอำนาจไปจากรัฐบาลพลเรือนประชาธิปไตย เมื่อไม่กี่วันมานี้ ชนิดดังสนั่นลั่นเลื่อนไปทั้งประเทศ จนส่งผลให้บรรดา “ม็อบไทยๆ” หรือม็อบพวกเด็กๆ ในบ้านเรา เลยคิดจะเอาอย่างกะเค้ามั่ง ชนิดถึงกับต้องกู่ก้องร้องตะโกน เพรียกหา ให้ใครต่อใครออกมา “ตีหม้อ” หรือ “เคาะหม้อ” กันให้เยอะๆ เข้าไว้ เพื่อต่อต้าน คัดค้าน รัฐบาลภายใต้การนำของอดีตทหาร อย่าง “บิ๊กตู่” กันอย่างเป็นระบบและกิจการ...
โดยไม่ว่าการตีหม้อ เคาะหม้อ เคาะไห ในบ้านเราหรือในพม่า...จะนำไปสู่อะไรต่อไป หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่สิ่งที่คงต้องให้ความสนใจเอาไว้มั่ง ก็คือ...ถึงขนาดที่ทำให้ “ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว” รายใหม่ “นายเจค ซัลลิแวน” (Jake Sullivan) เห็นว่าถึงกับต้อง “ยกหูโทรศัพท์” มาพูดคุยเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของบ้านเรา คือ “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” แบบจริงๆ จังๆ แบบซีเรียส ซีเครียด เอาเลยถึงขั้นนั้น นี่ถ้าว่ากันตามข่าวคราวที่หนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ” เขานำมาเผยแพร่ รายงานเอาไว้เมื่อวานซืนนี้ (10 ก.พ.) หรือถือเป็นการแสดงออกถึงความวิตกกังวล ความไม่ปรารถนาและไม่พึงพอใจสักเท่าไหร่ ไม่ว่าต่อการที่ทางการไทย หรือทางการพม่า คิดจะเล่นงานพวก “ตีหม้อ” ด้วยการจับกุมคุมขัง ไปจนการไล่ทุบ ไล่ตี อะไรทำนองนั้น โดยพยายามแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” อันเป็นระบอบการเมืองการปกครอง ที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันยุค “ผู้เฒ่าโจ” สามารถผงาดขึ้นมาแทนที่ “ทรัมป์บ้า” ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้...
แถมเห็นว่า...ยังคิดต่อสายไปพูดคุยกับบรรดาผู้นำประเทศอาเซียนทั้งหลาย ถึงความเป็นประชาธิปไตย-ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศพม่า ที่อาจต้องขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศหาทางทำอะไรต่อมิอะไรมากไปกว่าการ “อมเชาวริน” เอาไว้เฉยๆ หรือสรุปง่ายๆ...ก็คือเป็นความพยายามหยิบเอาความสูงส่ง วิเศษวิเสโส ของสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นั่นแหละ มาใช้เป็นตัวสร้างแรงกด แรงบีบ เพื่อให้บรรดารัฐบาลต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ เป็นไปตามที่ผู้นำโลก อย่าง “รัฐบาลอเมริกัน” ปรารถนาและต้องการ ส่วนจะส่งผลให้เลขาฯ สมช.ของบ้านเรา หรือผู้นำอาเซียนในแต่ละราย เกิดการประนีประนอม หรือโอนอ่อนผ่อนตาม บรรดาพวก “ตีหม้อ” ทั้งหลาย หรือไม่ อย่างไรนั้น คงต้องไปเช็กข่าว หาข่าว เอาเองก็แล้วกัน...
แต่ภายใต้สภาพบรรยากาศทำนองนี้นี่แหละ...สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า เมื่อแค่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นี่เอง สำนักวิจัยอเมริกัน หรือสำนักโพล ที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆว่า “AP/NORC” หรือสำนักวิจัยความคิด-ความเห็นของผู้คน ที่เกิดจากความร่วมมือของสำนักข่าว “The Associated Press” หรือสำนักข่าวเอพีกับสถาบันวิจัย “NORC” ของมหาวิทยาลัยชิคาโก เขาเพิ่งไปสำรวจตรวจสอบความคิด-ความเห็น ของบรรดาอเมริกันชน ต่อระบอบการเมือง-การปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกันแบบพอดิบ พอดี และได้เผยแพร่ผลสำรวจตรวจสอบ ออกมาเป็นข่าวคราวไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ อันเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็น อย่างค่อนข้างชัดเจน แจ่มแจ้ง แดงแจ๋ ว่าบรรดาอเมริกันชนเพียงแค่ 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หรือต้องเรียกว่า “น้อย” เอามากๆ ที่ยังคิดว่า หรือเชื่อว่า “ประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกัน” ยังไปได้สวย ไปด้วยดี ภายใต้สภาพสังคมที่ออกจะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา...
เพราะตามผลสำรวจ ผลวิจัย กลับพบว่า...บรรดาอเมริกันชนโดยส่วนใหญ่ หรือเกือบครึ่งหนึ่ง หรือกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจและวิจัย กลับเห็นว่า...ประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกานั้น ชักเป็นอะไรที่ “ไม่เวิร์ค” ไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผน หรือไม่สามารถตอบสนองความหวัง ความปรารถนาของผู้คนได้อีกต่อไปแล้ว 38 เปอร์เซ็นต์ อาจเห็นว่ายังพอตอบคำถาม ยังพอไขข้อข้องใจของตัวเอง ได้เพียงแต่เฉพาะในบางเรื่อง บางราว แต่โดยสรุปรวมๆ...หรือโดย “ส่วนใหญ่” ไม่น้อยกว่า 54 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เริ่มพบว่า...ระบอบประชาธิปไตยอเมริกา อาจนำพาประเทศไปในทิศทางที่ผิด ที่ไม่พึงประสงค์...
แม้ว่าผู้นำรายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ที่ถูกประธานาธิบดีคนก่อนกล่าวหาว่า “โกงเลือกตั้ง” หรือ “ขโมยเลือกตั้ง” แบบเดียวกับที่ “เผด็จการพม่า” หยิบไปใช้เป็นเงื่อนไขในการเล่นงานรัฐบาลพลเรือนของ “นางอองซาน ซูจี” ในทุกวันนี้ จะพยายามให้คำสัญญิง สัญญา ว่าจะเป็น “ผู้นำ” ของอเมริกันชนในทุกๆ ราย ไม่ว่าจะเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตามที และจะนำเอา “เอกภาพ” กลับคืนมาสู่ประเทศให้จงได้ แต่ปรากฏว่ามีอเมริกันชนเพียงแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เห็นว่าคำสัญญาเช่นนี้อาจมีโอกาสเป็นไปได้ แต่สำหรับอเมริกันชนโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าเดโมแครตหรือรีพับลิกัน ต่างเห็นไปในแนวเดียวกัน คือเชื่อว่า “การแบ่งแยก” หรือ “แตกแยก” ออกเป็นสองฝัก สองฝ่าย ยังน่าจะดำรงคงอยู่ไปพร้อมๆ กับระบอบประชาธิปไตยอเมริกัน อีกตราบนานเท่านาน...
นี่...เจอเข้ากับผลสำรวจและข้อสรุปในลักษณะเช่นนี้ อันที่จริงไม่น่าก่อให้เกิด “แรงจูงใจ” ต่อที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวรายใหม่ กล้าพอที่จะต่อสายยกหูโทรศัพท์มาสาธยายถึงคุณค่า ราคา ของสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” โดยไม่ได้รู้สึก “กระด๊าก” (กระดาก) อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อรายละเอียดของผลสำรวจยังลงลึกไปถึงความรู้สึกของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ที่มีต่อ “นักการเมือง” อเมริกัน หรือต่อ “รัฐสภา” ว่าแทบมองไม่เห็นถึงความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ อันสามารถก่อให้เกิด “ความหวัง” ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง เพราะเกือบ 88 เปอร์เซ็นต์ หันไปตั้งความหวังไว้กับ “ความยุติธรรมในระบบศาลและการยึดมั่นอยู่ในหลักนิติธรรม” ซะมากกว่า ที่จะหันมาให้ความสำคัญกับ “นักการเมือง” ไม่ว่าจะประชาธิปไตยกันในแบบไหน แนวไหน ก็แล้วแต่...
โดยถ้าว่าไปแล้ว...อารมณ์-ความรู้สึกทำนองนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะเกือบตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “ความเป็นประชาธิปไตย” ไม่ว่าประเทศไหนต่อประเทศไหน ในอเมริกา ในยุโรป ต่างออกอาการตกต่ำและเสื่อมโทรมไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังที่บริษัทสำรวจและวิจัยอย่าง “Edelman Trust Barometer” เคยใช้เวลาสำรวจมาเป็นปีๆ จนเกิดข้อสรุปไปในแนวเดียวกันนี้นั่นแหละว่า ไม่เพียงแต่ “คุณค่า” หรือค่านิยมแห่งความเป็นประชาธิปไตยในโลกนี้ กำลังเสื่อมลงๆ ไปทุกขณะแต่กระทั่ง “ค่านิยมตะวันตก” หรือคุณลักษณะแห่งความเป็นตะวันตก ที่เคยมีบทบาท อิทธิพล ต่อโลกทั้งโลกซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้ความเป็น “อาณานิคม” ของชาวตะวันตกมานานนับเป็นศตวรรษๆ ก็กำลังเสื่อมลงๆ หรือกำลัง “Westlessness” ยิ่งเข้าไปทุกที จนแทบมิอาจหยิบมาใช้เป็น “เหตุผล” และ “ข้ออ้าง” ในการ “ครอบงำ” ใครต่อใครอีกต่อไปได้เลย...