ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่ไม่น่าจะถึงกับ “หนัก” คือเรื่อง “วัคซีน” ที่เอาไว้สู้กับเชื้อไวรัสโควิด หรือโคขวิด นั่นแหละทั่น!!! ซึ่งแน่ล่ะว่า...คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเภทวัคซีนของคุณน้อง “ธนาธร” เขา เพราะอันนั้น...ต้องเรียกว่า ออกจะหนักหนาสาหัส หรือหนักระดับจมกระเบื้อง จมธรณี โอกาสที่จะได้ผุด ได้เกิด ทางการเมืองนับจากนี้ น่าจะ “ลำบาก” เอามากๆ...
แต่สำหรับวัคซีนในที่นี้...ก็คงไม่ถึงกับ “เบา” มากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าโลกทั้งโลกจะสามารถประดิษฐ์คิดค้นวัคซีน ออกมาสักกี่ตัวต่อกี่ตัวไปแล้วก็ตาม แต่การ “จำหน่าย-จ่าย-แจก” บรรดาวัคซีนเหล่านี้ ไปยังบรรดาผู้ที่มีความประสงค์และความต้องการ ไปๆ-มาๆ...อะไรที่ “ไม่น่าจะเป็นเรื่อง” ก็ดันกลายเป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมาจนได้ โดยเฉพาะเมื่อมีความพยายามดึงเอา “การเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่อง “วัคซีน” ตามแบบฉบับของใคร-ของมัน หรือทางใครก็ทางมัน จนถึงกับส่งผลให้ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก หรือ “WHO” ที่มีชื่อเรียกยากเอามากๆ คือ “นายเทดรอส อัดฮานอม จีเบรเยซุส” หรือ “เกเบรเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ก็แล้วแต่ ถึงกับต้องออกมาระบุว่า...กำลังเกิด “หายนะแห่งความล้มเหลวทางศีลธรรม” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
คือโดยคำพูด คำจา ของผู้อำนวยการ “WHO” รายนี้...ที่พูดเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถึงสถานการณ์การจำหน่าย-จ่าย-แจกวัคซีนเพื่อต่อสู้ ป้องกันบรรดาเชื้อโควิดทั้งหลาย ไปยังแต่ละประเทศ ประมาณว่า... “โลกของเรากำลังอยู่บนชายขอบของหายนะแห่งความล้มเหลวทางศีลธรรม โดยราคาแห่งความล้มเหลวเหล่านี้ จะต้องถูกจ่ายด้วยชีวิตและวิถีทางทำมาหากินของบรรดาประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก...” อันเป็นคำพูดที่ได้ถูกสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เขาหยิบเอาไปแปลความ ตีความ แบบค่อนข้างจะเป็นเรื่อง เป็นราว และเอาเรื่อง เอาราวอยู่พอสมควร ในบทบรรณาธิการเมื่อช่วงวันจันทร์ (18 ม.ค.) ที่ผ่านมา โดยให้ชื่อเอาไว้ว่า “Vaccine distribution shouldn’t lead to catastrophic moral failure”...
ซึ่งก็แน่ล่ะว่า...คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการละลาบละล้วงจ้วงจาบความพยายามล่วงละเมิดสิ่งที่เป็นความเชื่อ ความศรัทธาของใครต่อใครเขา แบบพวกนักการเมืองประเภท “ละอ่อน” ทั้งหลายในบ้านเรา แต่ก็ต้องถือเป็นการตั้งข้อกล่าวหา รวมทั้งความพยายามป่าวร้องและโฆษณา ถึงความไม่ได้เรื่องของผู้อื่น และความดี ความชอบของตัวเอง อย่างมิอาจปฏิเสธได้ โดยจะมีเหตุมีผล มีน้ำหนัก-ไม่มีน้ำหนัก หรือไม่? ประการใด? ผู้ที่สนใจในรายละเอียดคงต้องลอง “คลิก” ไปหาอ่านกันเอาเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างน้อย...ก็อาจถือเป็น “ภาพสะท้อน” ให้เห็นถึงความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของโลก ที่ยังเต็มไปด้วย “ปัญหา” หรือเต็มไปด้วย “ช่องว่าง” ไม่ว่าระหว่างความคิด-ความเห็น หรือความรวย-ความจน ก็ตามที...
สำหรับการ “ตั้งข้อกล่าวหา” ของจีนนั้น...ย่อมหนีไม่พ้นต้องมุ่งไปยังบรรดาประเทศที่มีอำนาจ อิทธิพล ในระดับโลก หรือบรรดาประเทศรวยๆ อย่างมิอาจปฏิเสธ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งบรรดาพันธมิตรประเภทเคียงบ่า เคียงไหล่ กันมาโดยตลอด หรือประเทศสมาชิก “Five Eyes” อย่างเช่นอเมริกา อังกฤษ และแคนาดา ที่ถูกสรุปเอาไว้ประมาณว่า ต่างมุ่งที่จะเก็บกักวัคซีนไว้สำหรับตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเผื่อแผ่ เกื้อกูล ให้กับบรรดาประเทศจนๆ หรือประเทศที่กำลังพัฒนา ให้มีโอกาสเข้าถึง หรือช่วยให้ผู้คนมีโอกาสรอดชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด อย่างเท่าที่ควรจะเป็นอะไรประมาณนั้น...
เช่น บางช่วง บางตอน ที่ระบุว่า... “ในหมู่ประเทศร่ำรวยเหล่านี้ มักใช้วัคซีนอเมริกา โดยที่ในสหรัฐฯ เองได้ฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองตัวเองไปแล้วถึง 12 ล้านคน สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ขณะวัคซีนอีก 4.3 ล้านโดส รวมทั้งวัคซีนออกซ์ฟอร์ด (AstraZeneca) ถูกบริหารจัดการในอังกฤษและประเทศชั้นนำในยุโรป โดยมีรายงานว่า ประเทศแคนาดาได้สั่งซื้อวัคซีนในปริมาณที่สามารถป้องกันชาวแคนาเดียนได้มากกว่า 5 เท่าตัว ทั้ง 3 ประเทศสมาชิก Five Eyes Alliance รวบรวมวัคซีนเอาไว้นำหน้าประเทศอื่นๆ แม้อังกฤษอ้างว่าได้บริจาคช่วยเหลือประเทศที่ยังไม่มีความมั่นคง เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนด้วยเช่นกัน แต่ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ และแคนาดา ก็คือประเทศที่ชอบส่งเสียงตะโกนถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ต่อบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ทั้งๆ ที่เขาเหล่านี้...ก็คือส่วนหนึ่งของหายนะแห่งความล้มเหลวทางศีลธรรม ตามคำกล่าวของนายเกเบรเยซุสนั่นเอง” นี่...ต้องเรียกว่า พอได้เจ็บๆ แสบๆ คันๆ กันไปพอสมควร...
และในเมื่อถือเป็น “สื่อทางการ” ของจีนซะอย่าง!!! บทบรรณาธิการของ “Global Times” ย่อมหนีไม่พ้นต้องหันมาเชียร์วัคซีนของจีนอยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าในแง่ของเรื่องราคา เรื่องของกระบวนการจำหน่าย-จ่าย-แจก ที่แม้ถูกกล่าวหาโดยบรรดาประเทศรวยๆ หรือโดยคุณพ่ออเมริกา ว่าเป็นความพยายามใช้ “การทูตวัคซีน” (Vaccine Diplomacy) เป็นเครื่องมือ เพื่อขยายอำนาจอิทธิพลของจีนก็แล้วแต่ แต่สำหรับ “Global Times” แล้ว ย่อมถือเป็นการ “ช่วยเหลือบรรดาประเทศที่ต้องการได้มาซึ่งสิทธิความเป็นมนุษย์ที่เป็นจริง-เป็นจัง” ไม่ใช่การพ่นแมงโม้ ถึงสิทธิมนุษยชนที่เป็นแค่มายาภาพ แบบประเทศรวยๆ ที่พยายามเก็บกักวัคซีนเอาไว้ให้กับตัวเองเป็นหลัก จนแทบกลายสภาพเป็นพวก “ชาตินิยมวัคซีน” (Vaccine Nationalism) ไปเลยถึงขั้นนั้น ที่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว “กลับหดหัวอยู่ในกระดองเหมือนเต่า” ไปซะนี่ ส่วนจะจริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ อันนี้...คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด ไปใคร่ครวญกันเอาเองก็แล้วกัน...
แต่จะอย่างไรก็ตาม...สิ่งที่สื่อทางการของจีนรายนี้ ได้พยายามชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ในบางเรื่อง บางราว ก็น่าจะมีความสำคัญอยู่พอสมควรเช่นกัน เช่นที่สรุปเอาไว้ในช่วงท้ายๆประมาณว่า...ทั้งวัคซีนอเมริกาและจีน ต่างมีข้อได้เปรียบเฉพาะตัวแตกต่างกันไป และควรอย่างยิ่งที่จะต้องหันมาหาทางร่วมมือซึ่งกันและกัน เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ไม่ว่าในแง่ราคา การมอบความไว้วางใจให้กับผู้ผลิตในท้องถิ่น หรือการร่วมพัฒนาของบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ที่ไม่ควรได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากสาเหตุทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น หรือ... “อย่าปล่อยให้หายนะแห่งความล้มเหลวทางศีลธรรม ต้องกลายเป็นเรื่องจริง ต้องเน้นย้ำความสำคัญที่ว่า เชื้อโคโรนาไวรัสเหล่านี้คือศัตรูของมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าในสมรภูมิใดๆ หรือไม่ว่าโดยเครื่องมือใดๆ ในการต่อสู้กับศัตรูตัวนี้ ต้องไม่ถูกแบ่งแยกโดยเด็ดขาด...”
นี่...อันนี้ต้องเรียกว่า อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับ “เอาดีใส่ตัว-เอาชั่วใส่ผู้อื่น” แบบชนิดดื้อๆ ทื่อๆ หรือดื้อๆ ด้านๆ จนเกินไป ยังเป็นอะไรที่สามารถนำเก็บมาคิด มาใคร่ครวญ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อส่วนรวมได้มั่ง ไม่มาก-ก็น้อย หรือยังพอสะท้อนให้เห็นถึงความมีเหตุมีผล มีน้ำหนัก ไม่ใช่เอาแต่ “มโน” ไปตามเรื่อง ตามราว อันเป็นอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากผู้ที่ดันตั้งตัวเป็นกูรู-กูรู้ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัคซีนเมืองไทย ที่เอาไป-เอามา...ไม่ใช่แค่ “ตกม้าตาย” กันเห็นๆ เผลอๆ อาจถูก “ธรณีสูบ” เอาเลยก็ไม่แน่!!!