"ฟีนิกซ์ 1010 โฮลดิ้งฯ" คาดธุรกิจโรงแรมยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวหลังเจอโควิด เผยมีดีลขายโรงแรมกว่า 10 แห่ง ในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศ ราคาตั้งแต่ 100-1,000 ล้านบาท ล่าสุดได้ดีลขายโรงแรม “สมุยบุรี บีช รีสอร์ท”จากกองทุนรวมอสังหาฯ
ดร.ปฏิมา จีระแพทย์ ประธานกรรมการ บริษัท ฟีนิกซ์ 1010 โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยว่า ยังต้องใช้เวลาพลิกฟื้นอีกหลายปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เริ่มตั้งแต่ต้นปี63 และถูกกระทบอย่างหนักเมื่อโควิดระบาด ส่งผลกระทบหลายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจโรงแรม ที่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหายไป ส่วนนักท่องเที่ยวคนไทย ระมัดระวังในการเดินทาง ส่งผลให้รายได้จากการเข้าพักลดวูบ โดยเฉพาะไทยยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ทำให้โรงแรมจำนวนมาก เริ่มประกาศขายผ่านตัวแทนขายเป็นจำนวนมาก
สำหรับโรงแรมที่เจรจา (ดีล) ผ่านเฉพาะบริษัทฟีนิกซ์ฯ ในปัจจุบัน มีมากกว่า 10 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ พัทยา สมุย ภูเก็ต เชียงใหม่ ฯลฯ มูลค่าตั้งแต่หลัก 100-1,000 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่เน้นลูกค้าชาวต่างชาติ โรงแรมระดับ 3-5 ดาว รวม 1,000-1,500 ห้อง ในจำนวนนี้ เป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิดให้บริการ สัดส่วนประมาณ 30%
ขณะนี้ได้มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้ความสนใจที่จะซื้อธุรกิจโรงแรม ในราคาไม่แพง แล้วนำมาปรับปรุงให้โรงแรมมีสภาพที่ดี และถือครองโรงแรมไปอย่างน้อย 4-5 ปี แล้วค่อยจำหน่ายออกไป โดยคาดการณ์ว่าใน ไตรมาส 4/2563 นี้ เจ้าของโรงแรมต่างๆ ที่ประกาศขายในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อหวังผลกำไรก่อนหน้านี้ เช่น เดิมตั้งราคาขายไว้ที่ 900 ล้านบาท แต่ไม่มีผู้ใดซื้อ จึงมีการปรับลดราคาลงมาเหลือเพียง 200 ล้านบาท ก็ยังไม่มีผู้ซื้อกิจการอีก โดยกองทุนเหล่านี้เชื่อว่าจนถึงสิ้นปีนี้ จะมีโรงแรมต่างยอมลดราคาขายที่ถูกลงกว่านี้อย่างแน่นอน
"ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด โรงแรมแต่ละแห่งต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่เมื่อโควิดคลี่คลาย ธุรกิจโรงแรมยังต้องมาเผชิญกับการแข่งขันในเรื่องการลดราคาลงมาไม่ต่ำกว่า 40-50% เพื่อดึงลูกค้าในประเทศให้เข้าพัก แต่ก็มีหลายแห่งที่ไปไม่รอด ต้องประกาศขายกิจการ"
ล่าสุดโรงแรม“สมุยบุรี บีช รีสอร์ท" ซึ่งถือกรรมสิทธิ์โดย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สมุยบุรี (SBPF)มีธนาคารออมสิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 24.15% ตั้งอยู่บนพื้นที่13 ไร่เศษ สิ่งปลูกสร้างประกอบด้วย อาคาร 2 ชั้น 1 อาคาร (ส่วนต้อนรับ) ,อาคาร 4 ชั้น 2 อาคาร มีห้องพักทั้งหมด 60 ห้อง และพูลวิลล่า 28 หลัง รวม 88 ห้อง ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เป็นผู้ดำเนินการจัดการประมูล โดยกำหนดราคาเริ่มต้นที่ 400 ล้านบาท และกำหนดวันเปิดซองประมูล 11 ก.พ. 64 ซึ่งเปิดกว้างให้ผู้สนใจทุกกลุ่มเข้าร่วมประมูล
"กลุ่มคนไทยที่ไม่เคยอยู่ในสายธุรกิจโรงแรม แต่มีฐานะการเงินที่แข็แกร่ง หรือเป็นผู้บริหารองค์กร มีเงินเก็บเยอะ สนใจที่จะขยายไลน์มาดำเนินธุรกิจโรงแรม โดยให้ความสนใจในพื้นที่ สมุย และภูเก็ต เป็นต้น อีกทั้งหลังจากเกิดโควิด-19 ทุกอย่างกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทำให้มีกลุ่ม Gen Z ที่เพิ่งจบการศึกษามา ได้รวมกลุ่มระดมเงินเพื่อไปทำกิจการโรงแรม แล้วบริหารเองก็มีให้เห็น เพื่อต้องการเรียนรู้ในธุรกิจอย่างจริงจัง และเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตนเอง ซึ่งต่างจากกองทุนรวมฯต่างๆ ที่ซื้อกิจการโรงแรม และนำมารีโนเวทใหม่ เมื่อมีโอกาสก็จะขายต่อทำกำไร"
อย่างไรก็ดี ภาคการท่อเที่ยวในปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวคาดว่าจะหายไปมาก จนเหลือเพียง 6-7 ล้านคน จากที่เคยมีประมาณเกือบ 40 ล้านคน ซึ่งในภาวะปกติแล้ว ธุรกิจโรงแรม หากจะมีรายได้ที่พอกับค่าใช้จ่ายแล้ว ต้องมีอัตราการเข้าพักประมาณ 30-40 %
ดร.ปฏิมา จีระแพทย์ ประธานกรรมการ บริษัท ฟีนิกซ์ 1010 โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยว่า ยังต้องใช้เวลาพลิกฟื้นอีกหลายปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เริ่มตั้งแต่ต้นปี63 และถูกกระทบอย่างหนักเมื่อโควิดระบาด ส่งผลกระทบหลายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจโรงแรม ที่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหายไป ส่วนนักท่องเที่ยวคนไทย ระมัดระวังในการเดินทาง ส่งผลให้รายได้จากการเข้าพักลดวูบ โดยเฉพาะไทยยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา ทำให้โรงแรมจำนวนมาก เริ่มประกาศขายผ่านตัวแทนขายเป็นจำนวนมาก
สำหรับโรงแรมที่เจรจา (ดีล) ผ่านเฉพาะบริษัทฟีนิกซ์ฯ ในปัจจุบัน มีมากกว่า 10 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ พัทยา สมุย ภูเก็ต เชียงใหม่ ฯลฯ มูลค่าตั้งแต่หลัก 100-1,000 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมที่เน้นลูกค้าชาวต่างชาติ โรงแรมระดับ 3-5 ดาว รวม 1,000-1,500 ห้อง ในจำนวนนี้ เป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิดให้บริการ สัดส่วนประมาณ 30%
ขณะนี้ได้มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้ความสนใจที่จะซื้อธุรกิจโรงแรม ในราคาไม่แพง แล้วนำมาปรับปรุงให้โรงแรมมีสภาพที่ดี และถือครองโรงแรมไปอย่างน้อย 4-5 ปี แล้วค่อยจำหน่ายออกไป โดยคาดการณ์ว่าใน ไตรมาส 4/2563 นี้ เจ้าของโรงแรมต่างๆ ที่ประกาศขายในราคาที่สูงเกินจริง เพื่อหวังผลกำไรก่อนหน้านี้ เช่น เดิมตั้งราคาขายไว้ที่ 900 ล้านบาท แต่ไม่มีผู้ใดซื้อ จึงมีการปรับลดราคาลงมาเหลือเพียง 200 ล้านบาท ก็ยังไม่มีผู้ซื้อกิจการอีก โดยกองทุนเหล่านี้เชื่อว่าจนถึงสิ้นปีนี้ จะมีโรงแรมต่างยอมลดราคาขายที่ถูกลงกว่านี้อย่างแน่นอน
"ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด โรงแรมแต่ละแห่งต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่เมื่อโควิดคลี่คลาย ธุรกิจโรงแรมยังต้องมาเผชิญกับการแข่งขันในเรื่องการลดราคาลงมาไม่ต่ำกว่า 40-50% เพื่อดึงลูกค้าในประเทศให้เข้าพัก แต่ก็มีหลายแห่งที่ไปไม่รอด ต้องประกาศขายกิจการ"
ล่าสุดโรงแรม“สมุยบุรี บีช รีสอร์ท" ซึ่งถือกรรมสิทธิ์โดย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สมุยบุรี (SBPF)มีธนาคารออมสิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 24.15% ตั้งอยู่บนพื้นที่13 ไร่เศษ สิ่งปลูกสร้างประกอบด้วย อาคาร 2 ชั้น 1 อาคาร (ส่วนต้อนรับ) ,อาคาร 4 ชั้น 2 อาคาร มีห้องพักทั้งหมด 60 ห้อง และพูลวิลล่า 28 หลัง รวม 88 ห้อง ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เป็นผู้ดำเนินการจัดการประมูล โดยกำหนดราคาเริ่มต้นที่ 400 ล้านบาท และกำหนดวันเปิดซองประมูล 11 ก.พ. 64 ซึ่งเปิดกว้างให้ผู้สนใจทุกกลุ่มเข้าร่วมประมูล
"กลุ่มคนไทยที่ไม่เคยอยู่ในสายธุรกิจโรงแรม แต่มีฐานะการเงินที่แข็แกร่ง หรือเป็นผู้บริหารองค์กร มีเงินเก็บเยอะ สนใจที่จะขยายไลน์มาดำเนินธุรกิจโรงแรม โดยให้ความสนใจในพื้นที่ สมุย และภูเก็ต เป็นต้น อีกทั้งหลังจากเกิดโควิด-19 ทุกอย่างกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทำให้มีกลุ่ม Gen Z ที่เพิ่งจบการศึกษามา ได้รวมกลุ่มระดมเงินเพื่อไปทำกิจการโรงแรม แล้วบริหารเองก็มีให้เห็น เพื่อต้องการเรียนรู้ในธุรกิจอย่างจริงจัง และเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตนเอง ซึ่งต่างจากกองทุนรวมฯต่างๆ ที่ซื้อกิจการโรงแรม และนำมารีโนเวทใหม่ เมื่อมีโอกาสก็จะขายต่อทำกำไร"
อย่างไรก็ดี ภาคการท่อเที่ยวในปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวคาดว่าจะหายไปมาก จนเหลือเพียง 6-7 ล้านคน จากที่เคยมีประมาณเกือบ 40 ล้านคน ซึ่งในภาวะปกติแล้ว ธุรกิจโรงแรม หากจะมีรายได้ที่พอกับค่าใช้จ่ายแล้ว ต้องมีอัตราการเข้าพักประมาณ 30-40 %