xs
xsm
sm
md
lg

ทุกแนวรบ...แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


Zhao Lijian โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน
เหตุที่ต้องว่าเอาไว้ในช่วงเปิดฉากสัปดาห์นี้...ว่าด้วยเรื่อง “หมีขาวกับผู้เฒ่าโจ” ก็เพื่อสะท้อนถึงสภาวะความเป็นไปของแนวรบสำคัญๆ อย่าง “แนวรบในด้านยุโรปตะวันออก” ว่าแนวโน้มที่ประเทศหมีขาวรัสเซียคงหนีไม่พ้นต้องถูกคุณพ่ออเมริกา โดยเฉพาะรัฐบาลใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ” ไล่บด ไล่บี้ เพิ่มแรงกดดันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

รวมทั้งเมื่อดันเกิดเหตุการณ์ลอบฆ่า ลอบสังหาร นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อิหร่าน ขึ้นมาในช่วงวัน-สองวันนี้ ไปจนถึงการแสดงอาการโอนอ่อนผ่อนตามของประเทศพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง อย่าง “ซาอุดีอาระเบีย” ยอมเปิดน่านฟ้าซาอุฯ ให้กับการบินไป-บินมาของเครื่องโดยสาร “ยูเออี” ที่เพิ่งหันไปรื้อฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับอิสราเอล ตามแผนสันติภาพของ “ทรัมป์บ้า” และลูกเขยชาวยิว อย่าง “นายจาเร็ด คุชเนอร์” ก็น่าจะสรุปได้ว่า...โอกาสที่จะเกิดการริเริ่มใหม่ๆ หรือเกิดแนวความคิดที่จะหวนกลับไป “ตั้งโต๊ะเจรจา” กับอิหร่าน ตามแนวทางเดิมๆ ของรัฐบาล “โอมาบ้า” หรือตามคำพูดจาหาเสียง ของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” น่าจะแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย หรือสรุปง่ายๆ ว่า...แนวโน้มที่ “แนวรบด้านตะวันออกกลาง” น่าจะเป็นไปในแนวเดิมๆ ไม่ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ หรือที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวรายใหม่ของรัฐบาลอเมริกา จะเป็นไผ หรือเป็นผู้ใดก็ตาม...

ดังนั้น...ก็คงเหลือแต่ “แนวรบในทะเลจีนใต้” ที่แม้ว่าผู้นำอเมริกันรายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านจะถือเอาคุณพี่จีนเป็นเพียงแค่ “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ภัยคุกคาม” หรืออาจถึงขั้นคิดดึงจีนออกจากอ้อมอกหมีขาว ตามยุทธศาสตร์ยุคพระเจ้าเหายังคงใส่กางเกงหูรูด หรือยุคอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ “เฮนรี คิสซิงเจอร์” โน่นเลย แต่มาถึงยุคนี้ สมัยนี้ หรือยุคที่ทางออก ทางไป และทางรอดของจักรวรรดินิยมรายสุดท้ายอย่างคุณพ่ออเมริกา ค่อนข้างเหลือน้อยลงไปทุกที โอกาสที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงในแนวรบด้านนี้ คงไม่ถึงกับง่ายดายกันสักเท่าไหร่นัก เอาง่ายๆ...แค่ดูจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือ “เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง” แต่ดันกลายเป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมาจนได้!!!

นั่นก็คือเรื่องโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายZhao Lijian” เกิดนึกยังไง คิดยังไงขึ้นมาก็มิอาจทราบได้ แต่ได้ตัดสินใจที่จะโพสต์ภาพ “ทหารออสเตรเลีย” รายหนึ่ง กำลังเอามีดจ่อคอหอยเด็กผู้หญิงชาวอัฟกานิสถาน อันเป็นภาพที่ถูกต่อเติม เสริมแต่งขึ้นมาด้วยเทคนิคคอมพิวเตอร์ พร้อมกับคำบรรยายที่ออกจะแสบสันเอามากๆ คือประมาณว่า... “อย่ากลัวไปเลย!!! เรามาเพื่อนำพาคุณหนูๆ ทั้งหลายไปสู่ความมีสันติภาพ” อะไรทำนองนั้น อันส่งผลให้กระทั่งคนระดับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย อย่าง “นายScott Morrison” ออกอาการ “ยั๊วะ” เอามากๆ ถือเป็นเรื่อง เป็นราว ระดับคอขาด-บาดตาย หรือเป็นการแสดงออกถึง “ความเป็นปรปักษ์” ของจีนต่อออสเตรเลีย ชนิดต้องออกมาเรียกร้องให้ทางการจีน ต้องขอโทษ ขอขมา โดยเปิดเผยและอย่างเป็นทางการ ตามด้วยนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งนิวซีแลนด์ “นางJacinda Arden” ที่ออกมาแสดงความแสบๆ คันๆ และหันมาสนับสนุนข้อเรียกร้องของผู้นำออสเตรเลีย อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว...

ขณะที่โฆษกหญิงแห่งกระทรวงการต่างประเทศจีน “นางHua Chunying” กลับคิดว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง หรือไม่คิดจะ “ขอโทษ” ใดๆ ซะยังงั้น!!! แถมใครก็ไม่รู้??? ยังดันออกมาโพสต์ภาพที่ไม่ได้ผ่านการต่อเติมเสริมแต่งใดๆ เลย หรือเป็นภาพจริง เหตุการณ์จริง กรณีทหารออสเตรเลียบางราย กำลังจัดงานเลี้ยง งานฉลอง ด้วยการนำเอา “ขาเทียม” ของพวกนักรบ “ตาลีบัน” ที่ถูกทหารออสเตรเลียฆ่าตายในสมรภูมิอัฟกานิสถาน เอามาทำเป็นแก้วเบียร์ หรือแก้วไวน์ ดื่ม-กินกันอย่างชนิดสนุกสนานและครื้นเครง อันเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยม และโหดร้ายซะยิ่งกว่าภาพที่ถูกต่อเติมเสริมแต่ง โดย “นายZhao Lijin” เป็นไหนๆ หรือสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเกลียด น่าทุเรศ และ “น่าอาย” ของสิ่งที่ทหารออสเตรเลียทำไว้ในอัฟกานิสถาน ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

แม้ว่ากรณีดังกล่าว...ออกจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือ “เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง” แต่อาจต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อน ให้เห็นถึงระดับความสัมพันธ์ของประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชีย อย่างจีนและออสเตรเลียได้ชัดเจนพอสมควร ว่าน่าจะออกอาการ “เสื่อม” สุดๆ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือแม้เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ผู้ที่ถือเป็น “คู่ค้า” ที่ใหญ่ที่สุดและน่าจะสำคัญที่สุด ของผู้ช่วยนายอำเภอ อย่างออสเตรเลีย ก็คือ...คุณพี่จีนนี่เอง!!! ที่โดยตัวเลขสถิติ เมื่อช่วงปีที่แล้ว (ค.ศ. 2019) การส่งออกสินค้าของออสเตรเลียไปยังประเทศจีน มีมูลค่าปาเข้าไปถึง 159,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกทั้งหมดของออสเตรเลีย และอาจด้วยความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็มิอาจสรุปได้ ที่ทำให้ความพยายามจัดตั้งกลุ่ม “พันธมิตรทางทหาร” ขึ้นมาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเอาไว้สร้างแรงกด แรงบีบ หรือเอาไว้ “ถ่วงจีน” ตามแนวความคิดของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ที่เรียกขานกันในนาม “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” โดยอาศัยความร่วมมือของ 4 ประเทศหลักๆ คืออเมริกา-อินเดีย-ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย หรือที่เรียกว่า “QUAD” (Quadrilateral Security Dialogue) ซึ่งถูกจุดประกายขึ้นมาตั้งแต่ครั้งการประชุมอาเซียนที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ. 2007 ประเทศผู้ช่วยนายอำเภออย่างออสเตรเลีย จึงไม่ถึงกับ “คิดจะเอาด้วย” มากมายสักเท่าไหร่นัก...

แต่เมื่อมาถึงยุคของ “นายScott Morrison” ที่ดูจะเอาจริง เอาจัง ต่อการสวมบทเป็นผู้ช่วยนายอำเภออย่างเป็นพิเศษ การเพิ่มความสำคัญให้กับกลุ่ม “QUAD” ด้วยการประกาศส่งกำลังทหารออสเตรเลีย เข้าร่วมซ้อมรบกับอเมริกา-อินเดีย และญี่ปุ่น ในปฏิบัติการที่เรียกว่า “Malabar 2020” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ รวมทั้งยังทำข้อตกลงทางทหารอีกหลายต่อหลายเรื่อง เพื่อทำให้ “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของ “ทรัมป์บ้า” เป็นเรื่อง เป็นราว ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แม้ว่าจะโดน “คู่ค้า” รายสำคัญอย่างจีนหันมาเล่นงานสินค้าออกของออสเตรเลีย รายแล้ว รายเล่า ไม่ว่าจะเป็นแร่เหล็ก ทองแดง ข้าวสาลี พืชผักผลไม้ ฯลฯ หรือแม้แต่ไวน์ออสเตรเลียคราวล่าสุด ก็ยังแทบ “ส่งไม่ออก” กันจนได้ แต่นั่นก็ดูจะไม่ช่วยให้ผู้ช่วยนายอำเภอรายนี้ เกิดอาการคิดหน้า-คิดหลัง บ้างเลยแม้แต่น้อย...

เพราะความพยายามสร้างกลุ่มพันธมิตรทางทหารกันแบบจริงๆ จังๆ ระดับคิดจะไปให้ถึงขั้นถือเป็น “Indo-Pacific NATO” หรือ “Asian NATO” นั้น ย่อมถือเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดแรงกดดัน ก่อให้เกิดแรงบด แรงบี้ ต่อคุณพี่จีนหนักยิ่งเข้าไปทุกที ยิ่งถ้าหากกลุ่ม “QUAD” ที่ว่านี้ สามารถกลายสภาพเป็น “QUAD+” หรือ “QUAD Plus” ด้วยแล้ว ด้วยการรวมเอาประเทศอย่างเวียดนามหรือเกาหลีใต้ เข้าไปร่วมผสมโรงกันจนได้ โดยอาจมีประเทศยุโรปอย่างฝรั่งเศส และเยอรมนี ตัดสินใจตามมาร่วมด้วย-ช่วยกันในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ก็ยิ่งทำให้ความเป็น “คู่แข่ง” หรือความเป็น “ภัยคุกคาม” ของจีน แทบไม่ได้ผิดแผกแตกต่างอะไรไปจากกันเอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ตราบใดที่ยังมีความพยายามแพร่เชื้อโรคระบาด หรือ “โรคกลัวจีน” (Sino-Phobia) ในสังคมอเมริกัน อย่างเป็นระบบและกิจการ จนทำให้ผลสำรวจความคิด-ความเห็นของอเมริกันชนคราวล่าสุด โดยสำนักวิจัยอย่าง “Pew Research Center” ต้องสรุปว่า จำนวนชาวอเมริกันที่มองจีนใน “แง่ลบ” มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 73 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้สำรวจทั้งหมด หรือเพิ่มขึ้นอีก 13 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดังนั้น...แม้ว่าพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอย่างพรรคเดโมแครต จะเห็นว่าจีนเป็นแค่ “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ภัยคุกคาม” ก็เถอะ แต่เมื่อเจอกับ “ลูกบ้า” ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ที่เป็นไปในแนวนี้ โอกาสที่ “แนวรบในทะเลจีนใต้” จะเปลี่ยนแปรไปในทางที่ดีขึ้น สบายเนื้อ-สบายตัวยิ่งขึ้น ออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เต็มที...




กำลังโหลดความคิดเห็น