xs
xsm
sm
md
lg

การลอบสังหารและการวาง“กับดัก”อิหร่าน

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


Mohsen Fakhrizadeh นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่านถูกลอบสังหาร
ยังไม่ทันได้วิเคราะห์เจาะลึก “แนวรบยุโรปตะวันออก” กันให้แบบชัดๆ จะจะ...สงสัยวันนี้ คงต้องแวบกลับมาสำรวจตรวจสอบ “แนวรบตะวันออกกลาง” กันอีกสักเที่ยว เพราะช่วงประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอิหร่าน เมื่อวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง “นายMohsen Fakhrizadeh” อายุ 62 ปี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสถาปนิกของโครงการนิวเคลียร์ หรือบิดาแห่งนิวเคลียร์อิหร่านเอาเลยถึงขั้นนั้น ดันถูกลอบฆ่า ลอบสังหาร แบบดื้อๆ ทื่อๆ ซะยังงั้น!!!

คือถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นอิหร่าน “Tasnim News” ขณะที่นักวิทยาศาสตร์รายนี้และผู้คุ้มกันกำลังเดินทางไปยังเมือง Absard ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันออกประมาณ 175 กิโลเมตร ก็ถูกระเบิดเล่นงาน จนรถเก๋งนิสสันซีดานไปต่ออีกไม่ได้ จากนั้นคนร้ายผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่ประสงค์ที่จะก่ออาชญากรรม ก่อการฆาตกรรมระดับบิ๊กๆ เบิ้มๆ ประมาณ 5-6 ราย ก็โผล่ออกมาระดมยิงใส่รถคันดังกล่าวชนิดหูดับตับไหม้ ส่งผลให้นักวิทยาศาสตร์ที่ถือเป็นคีย์แมนของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และเคยถูกนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” เอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ ต้องสิ้นชีพตักษัย ไปอย่างน่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพองเอามากๆ...

โดยแม้ว่าบรรดาคนร้ายไม่คิดประสงค์จะออกนาม...แต่ใครต่อใคร รวมทั้งบรรดาชาวอิหร่าน ต่างหนีไม่พ้นต้องพุ่งเป้าไปยัง “ฝ่ายตรงข้าม” ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอล หรือคุณพ่ออเมริกา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ เพราะว่าไปแล้ว...นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่บรรดานักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อิหร่าน ถูกเก็บ ถูกเด็ดหัวมาโดยตลอด ถ้าไม่โดยฝีไม้-ลายมือของสายลับอิสราเอลอย่างพวก “Mossad” ก็หนีไม่พ้นไปจาก “CIA” ของอเมริกันนั่นเอง โดยเฉพาะระหว่างช่วงปี ค.ศ. 2010-12 เห็นว่าเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 4 รายซ้อนๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...การเด็ดหัว การลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่าน แทบไม่ได้ส่งผลให้โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ไม่ว่าการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม หรือการคิดไปไกลถึงขั้นผลิตหัวรบนิวเคลียร์ หรือไม่ เพียงใด ก็แล้วแต่ มีอันต้องสะดุด หยุดยั้ง ล้มคว่ำคะมำหงายเอาง่ายๆ เนื่องจากเป็นที่รู้ๆ กันอยู่นั่นแหละว่า บรรดาโครงการเหล่านี้ย่อมไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักวิทยาศาสตร์รายใด รายหนึ่งแต่เพียงเท่านั้น แม้แต่นักวิทยาศาสตร์อย่าง “นายMohsen Fakhrizadeh” ก็ตาม แต่เป็นเรื่องของระบบและกระบวนการ ที่มีองค์ประกอบอื่นๆ อยู่อีกเยอะแยะมากมาย...

ดังนั้น...การลอบสังหารของนักวิทยาศาสตร์อิหร่านคราวนี้ คงไม่ได้คาดหวังเพียงแค่จะให้เกิดการหยุดยั้งโครงการนิวเคลียร์อิหร่านแต่อย่างใด แต่น่าจะคิดไกล ไปไกลกว่านั้นอีกเยอะ เพราะถ้าหากบรรดาชาวอิหร่านเกิดแค้นแสนแค้น แค้นตาแม้นยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ไม่ว่าบรรดานักศึกษาประชาชนที่ออกมารวมตัวหน้ารัฐสภาอิหร่านเมื่อช่วงวันเสาร์ (28 พ.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้แก้แค้น เอาคืน ต่อกรณีดังกล่าวให้จงได้ หรือผู้นำทางทหาร อย่าง “พลเอกEsmail Ghaani” แห่งกองกำลัง “Quds Force” ไปจนถึง “พลเอกMohammad Bagheri” หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม ที่ออกมาเน้นย้ำอย่างชัดเจน ว่ายังไงๆ...คงต้องเอาคืนแบบเจ็บๆ แสบๆ อยู่แล้วแน่ๆ โอกาสที่ปฏิกิริยาแห่งความแค้นแสนแค้นเหล่านี้ อาจนำไปสู่การ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาในแนวรบตะวันออกกลางย่อมเป็นไปไม่ได้ไม่ยากส์ส์ส์ เพราะขนาดหัวหน้ากองบรรณาธิการสื่อทางการของจีน “นายHu Xijing” แห่ง “Global Times” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องอุทาน ต้องปรารภรำพึงไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงวันเสาร์ (28 พ.ย.) ที่ผ่านมาถึงขั้นว่า “Will assassinate of Fakhrizadeh open a Pandora’s Box” หรือการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านรายนี้ อาจกลายเป็นการ “เปิดกล่องแพนโดร่า” หรือไม่ อย่างไร เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่ก็ยังโชคดี...ที่ผู้นำระดับสูงของอิหร่านไม่ว่าจะเป็น ท่าน “Ayatollah Sayyed Ali Khamenei” ประมุขด้านจิตวิญญาณ หรือประธานาธิบดี “Hassan Rouhani” ต่างดูจะแสดงออกถึงความมีสติ สตังค์ อยู่พอสมควรทีเดียว สำหรับอยาตอลเลาะห์ “Khamenei” นั้น นอกจากออกมาประกาศให้การตายของนักวิทยาศาสตร์รายนี้ถือเป็น “มรณะสักขี” (Martyrdom) ท่านยังเรียกร้องให้เร่งดำเนินการสอบสวนเหตุฆาตกรรม หรือการก่ออาชญากรรมครั้งนี้โดยละเอียด เพื่อให้รู้แน่ๆ ว่าเป็นฝีมือคุณพ่ออเมริกาหรือลูกหลานชาวยิวกันแน่ ส่วนประธานาธิบดีอิหร่านท่านคงพร้อมอยู่แล้ว สำหรับการแก้แค้น ล้างแค้น แต่ก็ได้เน้นย้ำเอาไว้ด้วยว่า ต้องไม่เป็นการ “เดินเข้าสู่กับดักของพวกไซออนิสต์” โดยเด็ดขาด!!!

เพราะเป็นที่รู้ๆ ล่วงหน้ามาพอสมควรแล้วนั่นแหละว่า...สิ่งที่เรียกว่า “กับดัก” สำหรับอิหร่านนั้น น่าจะมีรูปร่างหน้าตาออกมาในแนวไหน แบบไหน เนื่องจากก่อนเหตุลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านรายนี้ ทั้งคุณพ่ออเมริกาและคุณปู่อิสราเอล ต่างออกอาการลุกลี้ลุกลนเอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อแนวโน้มผลการเลือกตั้งอเมริกา มันออกไปทาง “โจ ไบเดน” ไม่ใช่ “ทรัมป์บ้า” ผู้พร้อมยกกรุงเยรูซาเล็ม ยกที่ราบสูงโกลัน ยกเขตเวสต์แบงก์ ฯลฯ ให้กับอิสราเอลมาโดยตลอด การส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงตัวแทนประธานาธิบดี อย่าง “นายElliot Abrams” และรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายMike Pompeo” ไปพบปะ เจรจาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลและที่ปรึกษาความมั่นคง “นายMeir Ben-Shabbat” กันถึงที่ ประธานเสนาธิการ IDF ของอิสราเอล “พลโทAviv Kochavi” ต่อสายตรงถึงประธานเสนาธิการทหารสหรัฐฯ “พลเอกMark Milley” ฯลฯ บรรดาอะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยทำให้ต้องเขียนไว้ในคอลัมน์นี้ก่อนล่วงหน้า หรือเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า “ต้องเริ่มจับตา...สงครามอิสราเอล-อิหร่าน” อะไรประมาณนั้นนั่นแล...

พูดง่ายๆ ว่า...ความพยายาม “ยกระดับความตึงเครียด” ระหว่างอเมริกาและอิสราเอลกับอิหร่านนั้น ถือเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของ “ทรัมป์บ้า” และ “เนทันยาฮู” ไปด้วยกันทั้งคู่ โดยไม่ว่าจะถึงขั้นต้องเปิดศึกสงคราม ต้องสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ใส่กันและกันอย่างเป็นทางการหรือไม่ เพียงใดก็ตาม เพราะทุกวันนี้...เรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Nimitz” ของสหรัฐฯ ที่เสร็จสิ้นการซ้อมรบในมหาสมุทรอินเดียร่วมกับอินเดีย-ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ก็บ่ายโฉมหน้าไปยังอ่าวเปอร์เซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแผนการลอบสังหารคราวนี้ก็เถอะ แต่การแสดงปฏิกิริยาใดๆ ก็ตามของอิหร่านเนื่องมาจากการลอบสังหารคราวนี้ ย่อมต้องส่งผลไม่มากก็น้อย ต่อการออกแบบ ดีไซน์ นโยบายของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่าน ภายใต้รัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ดังที่ “นายScott Ritter” คอลัมนิสต์ชื่อดัง อดีตหน่วยข่าวกรองนาวิกโยธินอเมริกัน ถึงกับสรุปไว้ในข้อเขียน บทความครั้งล่าสุดนั่นแหละว่า... “Israel’s gift to Joe Biden, 52 days before he even takes office : war with Iran” หรือของขวัญชิ้นใหญ่ ชิ้นโต ที่คุณปู่อิสราเอลพร้อมมอบให้กับ “ผู้เฒ่าโจ” ก่อนหน้าเข้ารับตำแหน่งประมาณ 52 วัน ก็คือ “สงครามกับอิหร่าน” นั่นเอง...

คือไม่ว่าอิสราเอลหรืออเมริกาเอง ถึงขั้นต้องเปิดศึกสงครามในอนาคตกับอิหร่านหรือไม่ อย่างไร แต่สิ่งที่ “นายScott Ritter” สรุปไว้อย่างน่าคิด น่าสนใจ มิใช่น้อยก็คือ...โอกาสที่รัฐบาลอเมริกันชุดใหม่จะ “กลับไปตั้งโต๊ะเจรจา” เรื่องนิวเคลียร์รอบใหม่กับอิหร่าน หรือกลับไปรื้อฟื้นข้อตกลง “JCPOA” ยิ่งแทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะด้วยการสร้างอุปสรรคขัดขวางต่อความคิดริเริ่มใดๆ ก็ตาม รวมทั้งการยกระดับความตึงเครียดกับอิหร่านให้หนักหน่วงรุนแรงยิ่งๆ ขึ้นไป ย่อมทำให้ไม่ว่าระดับว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริการายใหม่ อย่าง “นายAntony Blinken” หรือว่าที่ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” ต่างมีแนวโน้มที่จะต้อง “ปล่อยเลยตามเลย” หรือต้องหันไปเดินตามรอยเท้าและเส้นทางของ “ทรัมป์บ้า” และ “เนทันยาฮู” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด...




กำลังโหลดความคิดเห็น