ปรากฏการณ์อาหรับสปริงช่วงต้นทศวรรษ 2010 เป็นต้นแบบของการเคลื่อนไหวแบบแฟลชม็อบ ไม่มีแกนนำ และการใช้เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์นัดหมาย ระดมพล ปลุกเร้า มวลชนให้ออกจากโลกออนไลน์มาชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล
สิบปีผ่านไป ผลพวงจากอาหรับสปริงก็คือ สภาพบ้านแตกสาแหรกขาด สงครามกลางเมือง ไร้รัฐ ไร้ระบบที่เกิดขึ้นกับซีเรีย ลิเบีย และเยเมน การติดหล่มจมปลัก “ประชาธิปไตย” ในตูนิเซีย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาหรับสปริง
อียิปต์ชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่ของโลกโชคดีกว่า หลังการเปลี่ยนแปลง ประธานาธิบดีคนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งถูกต่อต้านจากประชาชน เกิดความแตกแยก การจลาจลวุ่นวาย การปะทะกันของผู้ชุมนุมต่อต้านและสนับสนุนรัฐบาล จนในที่สุด กองทัพทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ เมื่อกลางปี 2013 นำประเทศกลับสู่ความสงบจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับบาห์เรนที่กระแสอาหรับสปริงถูกสกัดตั้งแต่ตอนตั้งเค้า เมื่อรัฐบาลซาอุดีอาระเบียส่งกองทัพเข้าปราบปรามผู้ประท้วง
อาหรับสปริง ไม่ได้ทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย สงบสุข ปลดแอกประชาชน อย่างที่ผู้ออกมาประท้วงฝัน ตรงกันข้าม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สงครามกลางเมือง การแตกแยก ของคนในชาติ เศรษฐกิจพังพินาศ
วาเอล โกนิม ผู้สร้างเพจเฟซบุ๊กจุดกระแสอาหรับสปริงในอียิปต์ จนได้รับการยกย่องว่า ผู้นำการปฏิวัติตัวจริง หลังจากเวลาผ่านไป 5 ปี เขายอมรับบนเวที TED Conference ว่า อาหรับสปริงไม่เพียงเผยให้เห็นประสิทธิภาพของโซเชียลมีเดีย แต่ยังแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนที่สุดของมัน เครื่องมือเดียวกันที่ช่วยเรารวบรวมกำลังล้มล้างเหล่าผู้นำเผด็จการ แต่สุดท้ายกลับทำให้เราต้องแตกแยกกัน
ฮ่องกง โมเดล ที่เลียนแบบ “อาหรับสปริง” ใช้โซเชียลมีเดียปลุกระดมคนรุ่นใหม่ให้ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจีนทุกสุดสัปดาห์ จำนวนผู้ชุมนุมเรือนแสนทุกครั้ง ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ในที่สุด แกนนำเบื้องหลังต้องใช้ความรุนแรง ก่อการจลาจล ปล้นสะดมร้านค้า ปิดระบบขนส่งสาธารณะเพื่อยั่วยุให้ตำรวจใช้กำลัง ด้วยความหวังว่า ภาพการปราบปรามผู้ก่อการจลาจลที่ถูกโซเชียลมีเดียปั่นให้กลายเป็นเรื่อง ตำรวจใช้ความรุนแรง ปราบผู้ชุมนุม เพื่อดึงคนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบมาเป็นพวก
ฮ่องกง โมเดล ไปไม่ถึงฝั่งแห่งความฝัน เมื่อรัฐบาลปักกิ่งใช้ไม้แข็งออกกฎหมายความมั่นคง ที่มีผลบังคับใช้กับฮ่องกงด้วยจับกุมแกนนำ และ “ท่อน้ำเลี้ยง” อย่างเช่น จิมมี ไหล เจ้าของสื่อ แอปเปิลเดลี่ ประกอบกับการระบาดของไวรัสโควิด ทำให้การชุมนุมประท้วงไปต่อไม่ได้โดยปริยาย
แต่ผลพวงที่เกิดขึ้นคือ เศรษฐกิจฮ่องกงถูกทำลายให้ย่อยยับตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่การประท้วงเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ในย่านการค้า การท่องเที่ยว ร้านค้า ร้านอาหารต้องปิดกิจการ หนีม็อบ นักท่องเที่ยวไม่มา เพราะไม่มั่นใจความปลอดภัย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นตลาดใหญ่ของฮ่องกงถูกคุกคามจากผู้ประท้วง คนฮ่องกงเองก็ไม่ออกจากที่พัก เพราะไม่รู้ว่ารถไฟใต้ดินจะถูกปิดเมื่อไร
ปี 2019 จีดีพีฮ่องกงติดลบ 1.2% ถดถอยมากที่สุดในรอบ 10 ปี ถูกฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1995 เพราะการชุมนุมเป็นเหตุ
วันนี้ ถ้าถามว่า เมื่อไม่มีการระบาดของโควิดแล้ว ประเทศที่คนไทยอยากไปมากที่สุด และรองลงมาคือ ประเทศไหน คำตอบไม่ใช่ฮ่องกง เพราะภาพความรุนแรงของการประท้วงยังติดตาอยู่
ฮ่องกง โมเดล ถูก “คณะราษฎร” นำมาใช้ทุกเม็ด ทั้งรูปแบบการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ ใช้โซเชียลมีเดียในการสั่งการปลุกระดมมวลชน การชุมนุมที่ไม่มีแกนนำออกหน้าชัดเจน แต่ม็อบที่เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ จนมาใช้ชื่อ คณะราษฎรในตอนนี้ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าม็อบฮ่องกง เพราะจำนวนคนที่ออกมาร่วมยังน้อยมาก เพียงแค่หลักหมื่นเท่านั้น ซึ่งลดน้อยลงทุกวัน เพราะข้อเรียกร้องเป็นไปไม่ได้ และคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ
ม็อบคณะราษฎรกำลังถึงทางตัน นอกจากจำนวนผู้ร่วมชุมนุมจะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยังเป็นการชุมนุมเฉพาะที่กรุงเทพฯ การจัดการชุมนุมที่กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ หายไปแล้ว หากจะมีบ้าง ก็มีผู้ชุมนุมหลักร้อย กระทั่งแค่หลักสิบในหลายๆ ครั้ง ในขณะที่ข้อเรียกร้อง 3 ข้อตอนนี้เหลือเพียงข้อเดียว คือ การล้มล้างสถาบัน ภายใต้ข้ออ้าง ปฏิรูป
ขณะเดียวกัน กระแสต่อต้านเริ่มรุนแรงขึ้น ทั้งที่เป็นการชุมนุมของผู้ภักดีต่อสถาบัน และการต่อต้าน เสียดสี เยาะเย้ย ในทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก
วันนี้ ม็อบคณะราษฎรใช้กลยุทธ์เด็กดื้อ แม้แกนนำ และเสนาธิการเบื้องหลังจะรู้แก่ใจว่า ม็อบแผ่ว ไม่มีพลังแล้ว ต้องเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นอีเวนต์ เพื่อเลี้ยงกระแสไว้ให้นานที่สุด รอเวลาให้ฝ่ายรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำเดินหมากผิด
การชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน มีการปิดถนนในย่านธุรกิจการค้า ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว หลังจากควบคุมการระบาดของโควิดที่ได้ผล และมีการคลายล็อกดาวน์หมดแล้ว ภาพของม็อบที่แกนนำต้องการสื่อไปให้นานาชาติรับรู้ด้วยการจัดฉาก ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นจุดเด่น เรียกความสนใจจากสื่อต่างชาติ อย่างเป็ดเหลืองมีเป้าหมายเพื่อทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาในประเทศไทย
ม็อบฮ่องกงทำลายเศรษฐกิจฮ่องกงให้ย่อยยับไปแล้ว ม็อบคณะราษฎรกำลังเดินตามรอยฮ่องกง โมเดล เราคนไทยจะต้องไม่ยอมให้คนไม่กี่คนที่มีความทะเยอทะยานทางการเมือง มาทำให้ประเทศของเรา ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน