xs
xsm
sm
md
lg

“อัษฎางค์”แนะหยุดระดมพลเอาม็อบชนม็อบ เชื่อใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “อัษฎางค์ ยมนาค” ระบุว่า "ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว"
คือสุดยอดกลยุทธ์

ม็อบทรราษฎร์ เริ่มต้นด้วยการอ้างว่า ต่อต้านเผด็จการเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ความจริงที่ปิดเอาไว้คืออะไรเรารู้กันดี

ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป ความเหิมเกริม ก็ทำให้หน้ากากค่อยๆ หลุดออกมา
ในที่สุดค่อนข้างจะเรียกว่าเปิดหน้ากากกันแล้วยังได้

การพุ่งเป้าไปที่สำนักทรัพย์สินฯ เรื่องภาษี ต่างๆ นาๆ นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า เป้าหมายคืออะไร

ล่าสุดที่ประกาศจะเดินทัพไปที่สำนักทรัพย์สินฯในวันนี้ ก่อนจะเปลี่ยนไปที่สำนักงานใหญ่ของ SCB ยิ่งชัดเจนว่า เป้าหมายคือ พระมหากษัตริย์

จุดประสงค์หลักของไอ้โม่งที่เป็นหัวโจกตัวจริงของขบวนการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นชัดเจนตั้งแต่ต้น แต่ตอนแรกไม่กล้าที่จะออกตัวแรง

แต่ใช้วิธีลุกที่ละก้าวสองก้าว แต่ตอนนี้จะบอกว่าเปิดหน้ากากแล้ว หรือความเหิมเกริมทำให้หน้าการหลุดออกมาก็ตาม แต่นักเรียน นักศึกษาและประชาชนในกองทัพต่อต้านสถาบันฯ ก็ยังไม่รู้ตัว หรือไม่ยอมรับอยู่ดีว่า กำลังต่อต้านสถาบันฯ

ไอ้โม่งหัวโจกค่อยๆ ผลักให้ม็อบปีนบันไดตามการกลยุทธ์ของการก่อม็อบ ที่เริ่มต้นด้วยการยั่วยุให้เกิดความโกรธแค้นทั้งฝ่ายม็อบและฝ่ายตรงข้ามม็อบ และมีบันไดขั้นสุดอยู่ที่การสร้างวุ่นวายหรือการสร้างสงครามกลางเมืองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

วันนี้ 25 พฤศจิกายน อาจถึงวันที่ไอ้โม่งหัวโจกรอคอย เมื่อปีนมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย เพราะแสดงเป้าหมายออกมาชัดแจ้งแล้วว่า ม็อบจะเดินไปสู่สิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นตัวแทนของสถาบันฯ ซึ่งก็คือสำนักงานทรัพย์สิน และสำนักงานใหญ่ SCB

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่า ความหวังสุงสุดของม็อบคือ การสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่สงครามกลางเมือง แล้วเราจะทำยังไง

ผมจะลองชี้ให้ดูลองตามกันมา เมื่อไฟกำลังไหม้ เราจะเอาไฟโหมเข้าไปหรือใช้น้ำดับไฟ

เราจะใช้น้ำดับไฟใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้น หยุดระดมพลเพื่อเอาม็อบชนม็อบ

เราอาจรู้สึกอึดอัดว่ารัฐ ดูเหมือนนิ่งเฉย ทำงานช้า ไม่ทันม็อบ

แต่ลองทำใจนิ่งๆ แล้วค่อยๆ คิด
รัฐอาจกำลังใช้น้ำดับไฟ

ที่เราเห็นว่ารัฐทำเหมือนนิ่งเฉย รัฐอาจรู้หลายอย่างที่เราไม่รู้ และรัฐไม่กล้าเอยปาก

หนึ่งในเรื่องดังกล่าว คือ ภัยมืดเพื่อการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอภิมหาอำนาจ ที่ปัจจุบันแอบให้การสนับสนุนม็อบและนักการเมืองที่กระหายอำนาจอย่างลับๆ

โดยที่ประเทศอภิมหาอำนาจเหล่านั้นกำลังนอนรอเวลาที่สุกงอม เมื่อสงครามกลางเมืองปะทุ ก็คือเวลาของตำรวจโลกที่จะเข้ามารักษาความสงบ

ทั้งที่ความไม่สงบในประเทศนั้นเกิดจากฝืมือของตำรวจโลก ที่เล่นมุกเดียวกับตำรวจไทย คือยัดของกลางใส่มือผู้บริสุทธิ์เพื่อยัดข้อหาโจร

เมื่อไฟกำลังไหม้
เราจะใช้น้ำดับไฟใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้น หยุดระดมพลเพื่อเอาม็อบชนม็อบ

ถ้าเราอาจรู้สึกอึดอัดว่ารัฐ ดูเหมือนนิ่งเฉย ทำงานช้า ลองมองสูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปที่จุดสูงสุด

นั้นคือ สถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันพระมหากษัตริย์ที่โดยกระทำด้วยความหยาบช้าอย่างสุดที่จะทนในความรู้สึกของเรา กลับนิ่งยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

สังเกตุหรือไม่ว่าในหลวงรัชการก่อนและรัชการปัจจุบัน มีพระราชปรารถเดียวกันทุกประการคือไม่ให้ใช้ ม.112 ด้วยเหตุผลใดลองพิจารณากันดู

จริงอยู่ว่าเราผู้เป็นพสกนิกรนั้นเหลือจะอดแล้วจริงๆ แล้วอาจถึงเวลาที่ต้องใช้ไม้แข็งบ้าง

ซึ่งเมื่อตัดสินใจกันแล้วว่าจะใช้ไม้แข็ง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายทุกหมายตรา เราก็ควรให้เป็นไปตามกระบวนการทางนิติบัญญัติ

ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเข้าสู่ศาล แล้วปล่อยให้ศาลทำตามกฎหมาย

สิ่งที่เราผู้ซึ่งเป็นประชาชนผู้หวังดีต่อชาติควรทำคือ ดูแลลูกหลานคนในครอบครัวให้ดี ครอบครัวใครครอบครัวมัน

ด้วยการ"เอาความจริงออกมา" ตามกระแสพระราชดำรัสของในหลวง
ทำความจริงให้ปรากฎ เบิกเนตรให้ลูกหลานและคนในครอบครัว

อย่าปล่อยให้ผู้ไม่หวังดีต่อชาติและตัวเรา แหกตา ด้วยคำว่าเบิกเนตร

ผมขอย้ำว่า อย่าเอาม็อบชนม็อบ อย่าเอาไฟไปดับไฟ ตั้งสติ แล้วสติจะเกิด

อย่าเอาไฟไปดับไฟ คือการโหมให้ไฟไหม้ไม่หยุด สุดท้ายบ้านเมืองจะเหลือแต่ซาก

โปรดตั้งสติ เคยเห็นเด็กเกเร งอแง อาละวาดใช่มั้ย วิธีปราบเด็กงอแง คือปล่อยให้มันงอแงไป เดี๋ยวมันก็เบื่อหรือเหนื่อยไปเอง

อย่าไปตามใจ หรือทำตามที่มันเรียกร้อง
ให้มันเรียนรู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ