xs
xsm
sm
md
lg

บุก SCB! เป้าคือสถาบันฯ “บิ๊กกวิ้น” กล่อม “3 นิ้ว” เย็นดับร้อน “อัษฎางค์” เตือนอย่า “ไฟดับไฟ” จับตาผิด ม.420

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ “บิ๊กกวิ้น” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ขณะนำมวลชนม็อบหน้า SCB  จากแฟ้ม
ม็อบเปลี่ยนสถานที่ แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย บุก SCB! โจมตีเชิงสัญลักษณ์ต่อสถาบัน “บิ๊กกวิ้น” กล่อม 3 นิ้ว อย่าใช้ความรุนแรง เย็นดับร้อน “อัษฎางค์” เตือนอย่า ไฟดับไฟ “อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา” ชี้ ผิด กม.แพ่ง ม.420

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (25 พ.ย. 63) ทวิตเตอร์เพนกวิน - Parit Chiwarak
@paritchi ทวิตข้อความ ระบุว่า

“ด่วน ! #ม็อบ 25 พฤศจิกา เปลี่ยนไปสำนักงานใหญ่ SCB! ผมขอชี้แจงเหตุผลดังต่อไปนี้

1. เพื่อลดการปะทะจากตำรวจ (รวมถึงทหาร) และม็อบจัดตั้ง เพื่อไม่ให้เป็นเหตุให้เกิดการใช้ความรุนแรง การประกาศกฎอัยการศึก การรัฐประหาร หรืออะไรก็ตามที่เป็นเกมชั่วร้ายของทรราช

2. เพราะ (ระบุในหลวง ร.10 ด้วยข้อความเหิมเกริม) โอนหุ้นไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นสมบัติชาติไปเป็นชื่อตัวเอง

ดังนั้น พรุ่งนี้พบกัน 15.00 น. หน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ อย่าลืมเอาหมวกเป็ดกับไก่โอ๊กไปด้วยนะครับ

ไม่เพียงเท่านั้น อีกด้านหนึ่ง เฟซบุ๊ก เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มคณะราษฎร โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“นายทหารระดับสูงท่านหนึ่งแจ้งให้ผมทราบว่า วันนี้กองทัพจะส่งคนใส่ชุดดำแทรกซึมเข้ามาในม็อบแล้วทำลายข้าวของเพื่อสร้างภาพให้ม็อบเราเป็นม็อบความรุนแรง เพื่อเปิดทางให้ทหารประกาศกฎอัยการศึก

ผมขอประกาศนโยบายของผมให้ชัดเจนอีกรอบว่า ม็อบเราเป็นการชุมนุมโดยไม่ใช้ความรุนแรงและปราศจากอาวุธ แม้การปะทะอาจทำให้หลายคนได้สะใจแต่จะเป็นข้ออ้างให้ทหารทำอะไรพิสดารได้มหาศาล เช่น การใช้อาวุธสงครามยิงเรา การใช้กฎหมายมืดคุมเรา หรือการยึดอำนาจ

สันติไม่ได้แปลว่า ไม่สู้ แต่คือการสู้ที่ต้องใช้ความกล้าหาญมาก เพราะต้องข่มจิตใจของตนเมื่อเผชิญหน้ากับความกดดัน คือการสู้ที่ใช้ความเยือกเย็นสยบความร้อน ตำรวจทหารนั้นชำนาญและคุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรงอยู่แล้ว ถ้าเราเอาความรุนแรงเข้าสู้ก็ไม่มีทางชนะ เพราะความรุนแรงคือจุดแข็งของพวกเขา จงเอาความสร้างสรรค์ ความยืดหยุ่น ความไม่รุนแรงเข้าสู้ เพราะเหล่านี้คือสิ่งที่เราถนัดแต่เขาไม่ถนัดและไม่คุ้นชิน เป็นจุดแข็งเราแต่เป็นจุดอ่อนเขา

ดังนั้น จึงขอให้ทุกคนยึดมั่นในหลักการ ไม่ใช้ความรุนแรง ใครที่ใช้ความรุนแรงในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครถือว่าไม่ใช่พวกเราแต่เป็นสายตำรวจทหารปลอมตัวมา ขอให้มวลชนทุกคนสอดส่องดูแล

จงเอาความเยือกเย็นสยบความเร่าร้อน จงเป็นน้ำที่เย็นแต่พัดแรง และพัดเอาความชั่วร้ายของเผด็จการออกไปจากแผ่นดินไทย”

ภาพ นายอัษฎางค์ ยมนาค จากแฟ้ม
ด้าน เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของนายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์หัวข้อ “ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว” คือสุดยอดกลยุทธ์

เนื้อหาระบุว่า “ม็อบทรราษฎร์ เริ่มต้นด้วยการอ้างว่า ต่อต้านเผด็จการเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ความจริงที่ปิดเอาไว้คืออะไรเรารู้กันดี

ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป ความเหิมเกริม ก็ทำให้หน้ากากค่อยๆ หลุดออกมา ในที่สุดค่อนข้างจะเรียกว่า เปิดหน้ากากกันแล้วยังได้

การพุ่งเป้าไปที่สำนักทรัพย์สินฯ เรื่องภาษี ต่างๆ นานา นั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่า เป้าหมายคืออะไร

ล่าสุด ที่ประกาศจะเดินทัพไปที่สำนักทรัพย์สินฯในวันนี้ ก่อนจะเปลี่ยนไปที่สำนักงานใหญ่ของ SCB ยิ่งชัดเจนว่า เป้าหมายคือ พระมหากษัตริย์
............................................................................
จุดประสงค์หลักของไอ้โม่งที่เป็นหัวโจกตัวจริงของขบวนการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ชัดเจนตั้งแต่ต้น แต่ตอนแรกไม่กล้าที่จะออกตัวแรง แต่ใช้วิธีรุกที่ละก้าวสองก้าว แต่ตอนนี้จะบอกว่าเปิดหน้ากากแล้ว หรือความเหิมเกริมทำให้หน้ากากหลุดออกมาก็ตาม แต่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในกองทัพต่อต้านสถาบันฯ ก็ยังไม่รู้ตัว หรือไม่ยอมรับอยู่ดีว่า กำลังต่อต้านสถาบันฯ

ไอ้โม่งหัวโจกค่อยๆ ผลักให้ม็อบปีนบันไดตามกลยุทธ์ของการก่อม็อบ ที่เริ่มต้นด้วยการยั่วยุให้เกิดความโกรธแค้นทั้งฝ่ายม็อบและฝ่ายตรงข้ามม็อบ และมีบันไดขั้นสุดอยู่ที่การสร้างวุ่นวาย หรือการสร้างสงครามกลางเมืองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

วันนี้ 25 พฤศจิกายน อาจถึงวันที่ไอ้โม่งหัวโจกรอคอย เมื่อปีนมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย เพราะแสดงเป้าหมายออกมาชัดแจ้งแล้วว่า ม็อบจะเดินไปสู่สิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นตัวแทนของสถาบันฯ ซึ่งก็คือ สำนักงานทรัพย์สินฯ และ สำนักงานใหญ่ SCB

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่า ความหวังสูงสุดของม็อบ คือ การสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่สงครามกลางเมือง แล้วเราจะทำยังไง
............................................................................
ผมจะลองชี้ให้ดู ลองตามกันมา...
เมื่อไฟกำลังไหม้ เราจะเอาไฟโหมเข้าไปหรือ...
ใช้น้ำดับไฟ
เราจะใช้น้ำดับไฟใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้น หยุดระดมพลเพื่อเอาม็อบชนม็อบ
เราอาจรู้สึกอึดอัดว่ารัฐ ดูเหมือนนิ่งเฉย ทำงานช้า ไม่ทันม็อบ

แต่ลองทำใจนิ่งๆ แล้วค่อยๆ คิด
รัฐอาจกำลังใช้น้ำดับไฟ
ที่เราเห็นว่ารัฐทำเหมือนนิ่งเฉย รัฐอาจรู้หลายอย่างที่เราไม่รู้ และรัฐไม่กล้าเอยปาก

หนึ่งในเรื่องดังกล่าว คือ ภัยมืดเพื่อการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอภิมหาอำนาจ ที่ปัจจุบันแอบให้การสนับสนุนม็อบและนักการเมืองที่กระหายอำนาจอย่างลับๆ

โดยที่ประเทศอภิมหาอำนาจเหล่านั้น กำลังนอนรอเวลาที่สุกงอม เมื่อสงครามกลางเมืองปะทุ ก็คือ เวลาของตำรวจโลกที่จะเข้ามารักษาความสงบ

ทั้งที่ความไม่สงบในประเทศนั้น เกิดจากฝืมือของตำรวจโลก ที่เล่นมุกเดียวกับตำรวจไทย คือยัดของกลางใส่มือผู้บริสุทธิ์เพื่อยัดข้อหาโจร

เมื่อไฟกำลังไหม้
เราจะใช้น้ำดับไฟใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้น หยุดระดมพลเพื่อเอาม็อบชนม็อบ
............................................................................
ถ้าเราอาจรู้สึกอึดอัดว่ารัฐ ดูเหมือนนิ่งเฉย ทำงานช้า
ลองมองสูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปที่จุดสูงสุด
นั้นคือ สถาบันพระมหากษัตริย์
สถาบันพระมหากษัตริย์ที่โดนกระทำด้วยความหยาบช้าอย่างสุดที่จะทนในความรู้สึกของเรา กลับนิ่งยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

สังเกตหรือไม่ว่า ในหลวงรัชกาลก่อนและรัชกาลปัจจุบัน มีพระราชปรารถเดียวกันทุกประการ คือ ไม่ให้ใช้ ม.112 ด้วยเหตุผลใดลองพิจารณากันดู

จริงอยู่ว่า เราผู้เป็นพสกนิกรนั้นเหลือจะอดแล้วจริงๆ แล้วอาจถึงเวลาที่ต้องใช้ไม้แข็งบ้าง ซึ่งเมื่อตัดสินใจกันแล้วว่าจะใช้ไม้แข็ง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายทุกหมายตรา เราก็ควรให้เป็นไปตามกระบวนการทางนิติบัญญัติ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเข้าสู่ศาล แล้วปล่อยให้ศาลทำตามกฎหมาย
............................................................................
สิ่งที่เราผู้ซึ่งเป็นประชาชนผู้หวังดีต่อชาติควรทำคือ ดูแลลูกหลานคนในครอบครัวให้ดี ครอบครัวใครครอบครัวมัน

ด้วยการ “เอาความจริงออกมา” ตามกระแสพระราชดำรัสของในหลวง
ทำความจริงให้ปรากฏ เบิกเนตรให้ลูกหลานและคนในครอบครัว

อย่าปล่อยให้ผู้ไม่หวังดีต่อชาติและตัวเรา แหกตา ด้วยคำว่าเบิกเนตร

ผมขอย้ำว่า อย่าเอาม็อบชนม็อบ อย่าเอาไฟไปดับไฟ
ตั้งสติ แล้วสติจะเกิด

อย่าเอาไฟไปดับไฟ คือ การโหมให้ไฟไหม้ไม่หยุด สุดท้ายบ้านเมืองจะเหลือแต่ซาก
โปรด...ตั้งสติ
............................................................................
เคยเห็นเด็กเกเร งอแง อาละวาดใช่มั้ย
วิธีปราบเด็กงอแง คือ ปล่อยให้มันงอแงไป
เดี๋ยวมันก็เบื่อหรือเหนื่อยไปเอง
อย่าไปตามใจ หรือทำตามที่มันเรียกร้อง
ให้มันเรียนรู้ว่า...
ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ”

ภาพ นายชูชาติ ศรีแสง จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความว่า

“....กรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปชุมนุมที่ธนาคารไทยพาณิชย์ วันนี้ เวลา 15 นาฬิกา เป็นเหตุให้ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ และสาขารัชโยธิน ต้องปิดทำการ นั้น

.....ถ้ากลุ่มผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปในอาณาบริเวณของธนาคารไทยพาณิชย์ ก็จะมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา

.....มาตรา 365(2) คือ ร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้น และถ้าชุมนุมจนเลยเวลา 18 นาฬิกา ก็มีความผิดตาม (3) คือในเวลากลางคืน ด้วย

.....ทั้ง (2) และ (3) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

.....กรณีนี้ผู้ร่วมชุมนุมทุกคนต่างก็มีความผิดเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะแกนนำ เพราะไม่เกี่ยวกับการพูดหรือการปราศรัยของแกนนำ แต่เป็นการกระทำด้วยร่างกายคือการบุกรุกเข้าไป

.....การชุมนุมดังกล่าว ยังมีความผิดฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 คือ ถ้าการที่ธนาคารไทยพาณิชย์ต้องปิดทำการ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมไปชุมนุมที่ธนาคาร ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ แก่ธนาคาร เช่น วันนี้หุ้นของธนาคารในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าลดลง หรือความเสียหายอื่นๆ ก็ตาม

.....ธนาคารก็สามารถฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายที่ธนาคารได้รับความเสียหายอันเป็นผลจากการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมจากผู้ชุมนุมทุกคน

.....แม้ในช่วงระยะเวลานี้หรือช่วงที่ศาลพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ธนาคาร ผู้ถูกฟ้องไม่มีทรัพย์สินใดๆ แต่คำพิพากษาของศาลมีผลบังคับเป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด

.....ดังนั้น ภายในระยะเวลา 10 ปี หากผู้นั้นมีทรัพย์ใดๆ ขึ้นมา ธนาคารก็สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาชำระหนี้ธนาคารตามคำพิพากษาได้

#เมื่อพร้อมกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย #ต้องพร้อมรับผิดตามกฎหมาย #การดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด #เป็นสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ”

แน่นอน, ทุกอย่างกระจ่างชัดจนแทบไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น สิ่งที่ม็อบราษฎร 63 และ “อีแอบ” อยู่เบื้องหลังเด็กและเยาวชน ต้องการอะไร

เกมการเคลื่อนไหวที่เดิมพันสูง ของคนไทย ประเทศไทย ท่ามกลางความไม่รู้สึกรู้สาของคนไทยบางกลุ่ม ที่มุ่งแต่แสวงประโยชน์ทางการเมืองเป็นสำคัญ

จนสุดท้าย ยิ่งเคลื่อนไหว ก็ยิ่งท้าทาย เย้ยฟ้าท้าดิน ไม่มีใครหยุดยั้งได้ และเหิมเกริมเลยธง แกนนำล้ำหน้ามวลชน สุดโต่ง และไร้เดียงสาก็ปานนั้น

แม้คนไทยทุกคนจะยอมรับในการใช้ความอดทน อดกลั้น ไม่เอา “ไฟดับไฟ” ในการแก้ปัญหา ฯลฯ แต่ใครจะการันตีได้ว่า กลุ่มคนที่ต้องการความรุนแรง อยากให้เกิดสงครามกลางเมือง ต้องการชีวิตและเลือดเนื้อคนไทยเซ่นสังเวย โอกาสที่จะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย หรือ จัดตั้งประชาธิปไตยใหม่ ไม่มีในโลก ไม่เชื่อก็ลองถามคนไทยที่ขายชาติดู คงได้คำตอบเป็นอย่างดี หรือไม่จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น