ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจ คนไทยกว่าร้อยละ 93 จี้ม็อบราษฎรหยุดอ้างรักษาเงินภาษี เพราะเป็นผู้ทำลายทรัพย์สินส่วนรวมเสียเอง ซ้ำยังคุกคาม-บังคับผู้อื่น อ้างประชาธิปไตยแต่ใจเป็นเผด็จการ กว่าร้อยละ 94 ยังจงรักภักดีปกป้องสถาบันหลักของชาติ ร้อยละ 59.6 ยังสนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 91 เอือมระอากับม็อบ อยากให้หยุดได้แล้ว
วันนี้ (21 พ.ย.) ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ภาษีของราษฎร กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,112 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 19-21 พ.ย. 63
ผลการสำรวจพบว่า เมื่อถามถึงภาษีของราษฎร พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.3 ระบุ ม็อบราษฎร หยุดอ้างว่าจะรักษาเงินภาษีของราษฎร เพราะเห็นแล้วว่าได้ทำลายทรัพย์สินส่วนรวมจากเงินภาษีของราษฎร รองลงมาหรือ ร้อยละ 92.9 ระบุ ม็อบราษฎรแท้จริงต้องช่วยรักษาเงินภาษีของราษฎร ไม่ใช่ทำลายแบบนี้ ร้อยละ 92.7 ระบุ ม็อบประชาธิปไตยใจเผด็จการยิ่งกว่าผู้มีอำนาจตอนนี้ เพราะคุกคามผู้อื่น บังคับผู้อื่นต้องทำตามข้อเรียกร้อง ทำลายผู้เห็นต่าง ถึงจะรุนแรงบานปลาย ไม่สนเงินภาษีประชาชนที่ต้องมาฟื้นฟูหลังการสูญเสีย ร้อยละ 92.3 ระบุน่าเคลือบแคลงสงสัยว่าม็อบทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง คนหยิบมือเดียวได้ประโยชน์ด้วยทุนต่างชาติมาทำลายเงินภาษีของราษฎร
ดร.นพดล กล่าวว่า ที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 91.7 ระบุ ม็อบประชาธิปไตยแท้จริง ต้องชุมนุมด้วยความสงบ ช่วยรักษาทรัพย์สิน สมบัติชาติ ไม่ทำลายเงินภาษีประชาชนเหมือนที่หน้ารัฐสภา ร้อยละ 91.6 ระบุ ถ้าเห็นแก่อนาคตของน้องๆ พี่ๆ มาทำลายทรัพย์สินส่วนรวมจากเงินภาษีของราษฎรทำไม ร้อยละ 90.6 ระบุขบวนการต่างชาติร่วมทุนในไทยหนุนม็อบปลุกปั่นทำลายเงินภาษีของราษฎร และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.0 ระบุ เงินภาษีของราษฎรถูกม็อบทำลาย เช่น รถเมล์ รถตู้ตำรวจ รถน้ำแรงดันสูง กล้องวงจรปิดดูแลความปลอดภัยของราษฎร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.8 ระบุ คนไทยส่วนใหญ่ยังจงรักภักดีและต้องการปกป้องรักษาสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 93.4 ระบุไม่รักก็อย่าทำลาย และร้อยละ 91.6 ระบุ เอือมระอากับม็อบหยุดได้แล้ว ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อ จัดการคนทำผิดกฎหมายไม่ต้องเว้น
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 ต้องการให้ผู้มีอำนาจออกมาออกมาทำบ้านเมืองให้สงบสุข ไม่วุ่นวายโดยเร็ว ในขณะที่ร้อยละ 7.6 ระบุปล่อยไปแบบนี้ และเมื่อถามถึงจุดยืนทางการเมืองของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.6 สนับสนุนรัฐบาล ในขณะที่ร้อยละ 20.4 ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 20.0 เป็นพลังเงียบ ขออยู่ตรงกลาง
ดร.นพดล กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุปะทะทำลายทรัพย์สินราชการจากเงินภาษีของราษฎร ส่งผลทำให้กลุ่มพลังเงียบและผู้เคยไม่สนับสนุนรัฐบาลบางส่วนเทคะแนนมาสนับสนุนรัฐบาลมากขึ้น และผลโพลเรื่องภาษีของราษฎรนี้ชี้ให้ประชาชนทั่วไปเห็นอย่างน้อย 3 อย่างคือ
1) แกนนำและม็อบผู้เคยประกาศตัวเรื่องปกป้องภาษีของประชาชน แต่กลับมาทำลายเงินภาษีของประชาชนด้วยวิธีที่รุนแรงแบบธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำได้คือทุบทำลายให้เสียหายและประชาชนต้องมาจ่ายเพิ่มในการซ่อมแซมฟื้นฟูแทนที่จะเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยเรื่องสุขภาพและการศึกษา
2) แกนนำและม็อบเคยเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชนแต่กลับทำร้ายผู้เห็นต่างจนบาดเจ็บ รวมถึงคุกคาม เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน จนทำมาหากินไม่ได้
3) แกนนำและม็อบเรียกร้องประชาธิปไตยแท้จริง แต่กลับไปบังคับข่มขู่และใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย พรรคพวกทำผิดกฎหมายได้ต้องปล่อยตัว ถ้าบ้านเมืองไม่มีกฎหมายแล้วราษฎรจะอยู่กันอย่างไร เพราะถ้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ของประชาธิปไตยในโลกตะวันตก จะพบว่าประเทศเหล่านั้นมีสงครามกลางเมือง มีจลาจลเพราะกลุ่มผลประโยชน์ขัดแย้งกันในหมู่ประชาชน พวกเขาจึงต้องมีระบบการส่งตัวแทนผ่านการเลือกตั้งเข้าสู่สภาและแก้ปัญหาความขัดแย้งกันในสภา
ดร.นพดล กล่าวว่า ถ้าคิดว่าสภาแก้ไม่ได้ก็ต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แต่ถ้ายุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบันบางกลุ่มเล็งเห็นว่าจะได้ผลลัพธ์ไม่ถูกใจก็ต้องลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าอ้างอีกว่าลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญเปลืองงบประมาณ ก็ควรคิดต่อว่า ถ้าปมนี้แก้กันไม่ได้จนเกิดความรุนแรงบานปลายเกิดการสูญเสียจะทำให้ราษฎรทั้งประเทศเสียงบประมาณมากกว่าหรือไม่ ทั้งงบประมาณฟื้นฟูประเทศเยียวยาการสูญเสียและงบประมาณตามกระบวนการประชาธิปไตยใหม่