โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง พร้อมนักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันอีก 2 คน ถูกควบคุมตัวส่งเข้าเรือนจำในวันจันทร์ (23 พ.ย.) ระหว่างรอการตัดสินระวางโทษ ภายหลังทั้งหมดยอมรับสารภาพผิดต่อศาลในข้อหาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการชุมนุมเดินขบวนนอกกองบัญชาการตำรวจ ระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว
หว่อง วัย 24 ปี พร้อมกับ อีแวน ลัม และ แอกเนส โจว ยอมรับสารภาพระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับการจัดการประท้วง, การเข้าร่วมการประท้วง และการยุยงผู้อื่นให้เข้าร่วมการประท้วงที่มิได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ที่บริเวณด้านนอกกองบัญชาการตำรวจฮ่องกงเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทั้ง 3 ต่างเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง “เดโมซิสโต” ที่เวลานี้ถูกยุบเลิกไปแล้ว
จำเลยทั้งสามถูกศาลสั่งควบคุมตัวเข้าเรือนจำเพื่อรอศาลกำหนดระวางโทษซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม ทำให้ดูจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะเจอโทษจำคุก ทั้งนี้ ผู้มีความผิดฐานเข้าร่วมในการชุมนุมอย่างผิดกฎหมายอาจถูกลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี โดยขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำความผิด อย่างไรก็ดี ศาลแขวงซึ่งเป็นสถานที่พิจารณาคดีนี้นั้น ปกติแล้วสามารถสั่งจำคุกจำเลยได้ไม่เกิน 3 ปี
เมื่อปีที่แล้ว ฮ่องกงตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนหนักจากการประท้วงใหญ่เรียกร้องประชาธิปไตยที่ยืดเยื้อนานกว่า 7 เดือน ซึ่งบางครั้งดึงดูดผู้ชุมนุมไหลบ่าสู่ท้องถนนได้เป็นเรือนล้าน แต่บ่อยครั้งได้เกิดความรุนแรง ทั้งการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจ การที่ผู้ประท้วงเข้าทำลายข้าวของสถานที่สาธารณะ และการที่กลุ่มซึ่งผู้ประท้วงระบุว่าเป็นพวกอันธพาลของฝ่ายเจ้าหน้าที่ เข้าทำร้ายผู้ประท้วง
ปักกิ่งได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี และทางการผู้รับผิดชอบในฮ่องกงได้เล่นงานตั้งข้อหาอาญาต่อพวกผู้ประท้วง ซึ่งบ่อยครั้งนอกจากเรียกร้องประชาธิปไตยแล้ว ยังมีการแสดงออกเรียกร้องให้ฮ่องกงแยกตัวเป็นเอกราช รวมทั้งขอร้องต้องการให้ต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐฯและอังกฤษเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือพวกเขา และในที่สุดรัฐสภาจีนในปักกิ่งก็ออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ขึ้นมาบังคับใช้กับฮ่องกงเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้
“เราจะยังคงต่อสู้เพื่อเสรีภาพต่อไป และเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะคุกเข่าให้ปักกิ่งและยอมจำนน” หว่องบอกกับพวกผู้สื่อข่าวขณะเดินทางไปยังศาล
ทันทีที่อยู่ภายในห้องพิจารณาคดี หว่องได้รับสารภาพความผิดฐานยุยงและจัดให้มีการชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย ขณะที่ ลัม รับสารภาพในข้อหายุยง ส่วน โจว ซึ่งปัจจุบันอายุ 23 ปี ยอมรับความผิดฐานยุยงและเข้าร่วมการประท้วง
“ทุกคนต้องยืนหยัดกันที่นั่นต่อไป ผมรู้ว่ามันหนักหนาสาหัสสำหรับพวกคุณที่จะยังอยู่ที่นั่น” หว่องตะโกนออกมาจากข้างในศาล
พวกผู้สนับสนุนกลุ่มเล็กๆ ที่รายล้อมรถเรือนจำซึ่งพาพวกเขาเดินทางออกมาจากศาล ต่างพากันตะโกนว่า “เติมน้ำมัน!!” และ “ไม่มีพวกก่อจลาจล มีแต่ทรราช!”
ทั้งนี้ วลี “เติมน้ำมัน” เป็นคำในภาษาจีนซึ่งนิยมนำไปใช้ในการเชียร์กีฬาด้วย โดยมีความหมายให้อดทนยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
ถึงแม้ยังอยู่ในวัยเยาวชน แต่หว่องก็เคยติดคุกมาแล้วจากการเป็นผู้นำการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย และบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่าเขาพร้อมที่จะกลับมาอีก
“ในทางอารมณ์ความรู้สึกแล้ว ผมลังเลใจในทุกๆ ทางที่จะต้องติดคุก แต่ในทางเหตุผล ผมไม่มีที่ว่างใดๆ เหลืออยู่เลยสำหรับที่จะมาคร่ำครวญเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ จำนวนมาก” เขากล่าวขณะอยู่นอกศาล โดยมุ่งอ้างอิงถึงการฟ้องร้องดำเนินคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงรวมแล้วเป็นจำนวนหลายร้อยคดี ซึ่งตอนนี้ก็ถึงบทสรุปแล้วเช่นกัน
ลัม ซึ่งพูดก่อนหน้าการพิจารณาคดีของศาลเช่นกัน กล่าวว่า เขาก็เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการต้องติดคุก
หว่องเขียนลงในหน้าเฟซบุ๊กของเขาเมื่อวันอาทิตย์ (22) ว่า เขากับลัมได้ตัดสินใจที่จะรับสารภาพภายหลังหารือกับทางทีมทนายของพวกเขา ก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่ยอมรับสารภาพในทุกข้อหาความผิด
สำหรับ โจว นั้น ได้ยอมสารภาพผิดไปก่อนแล้วในข้อหายุงยงผู้อื่นและเข้าร่วมการประท้วงที่ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ
“ถ้าถูกลงโทษ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันติดคุก” เธอโพสต์ข้อความนี้ทางเฟซบุ๊กเมื่อวันอาทิตย์ (22) “ขณะที่ฉันมีการเตรียมตัวทางจิตใจสำหรับเรื่องนี้ ฉันก็ยังคงรู้สึกกลัวนิดหน่อย”
หว่องกลายเป็นนักเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนยังอายุแค่วัยรุ่นต้นๆ ด้วยการรวบรวมนักเรียนในฮ่องกงมาร่วมมือกันจัดการรณรงค์ต่อสู้ในปี 2012 เพื่อคัดค้านแผนการที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของฮ่องกงให้มีลักษณะ “รักชาติ” มากขึ้น คล้ายๆ กับบนแผ่นดินใหญ่ยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นแบบแผนมุ่งปลูกฝังค่านิยมตะวันตก การรณรงค์นี้ประสบความสำเร็จ โดยทางการฮ่องกงต้องยอมพับแผนการนี้ไป
ในปี 2014 เขากับ โจว ช่วยกันสร้างแรงบันดาลใจและเป็นผู้นำของการประท้วง “ขบวนการร่ม” ซึ่งมุ่งเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงชาวฮ่องกงเป็นผู้เลือกผู้นำและสมาชิกสภานิติบัญญัติอย่างแท้จริง ไม่ใช่อำนาจชี้ขาดยังอยู่ที่ปักกิ่ง การรณรงค์คราวนั้นซึ่งส่วนใหญ่นำโดยนักเรียนนักศึกษา ได้เข้ายึดพื้นที่ถนนย่านศูนย์ราชการและธุรกิจของฮ่องกงเอาไว้เป็นเวลา 79 วัน แต่ก็ยุติลงด้วยความล้มเหลวพ่ายแพ้
หว่องถูกจำคุกในความผิดฐานเกี่ยวข้องพัวพันกับการประท้วงเหล่านี้ เช่นเดียวกับพวกแกนนำส่วนใหญ่ของขบวนการ
เขายังคงอยู่ในคุก ตอนที่การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมากเปิดฉากขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ถึงแม้เขาได้ไปปรากฏตัว ณ การชุมนุมครั้งต่างๆ จำนวนมาก ภายหลังเขาได้รับการปล่อยตัว
อย่างไรก็ตาม การประท้วงในปี 2019 ไม่ได้มีผู้นำที่ประกาศตัวออกมาอย่างเปิดเผย ขณะที่การเคลื่อนไหวและการนัดหมายต่างๆ อาศัยสื่อสังคม และแชทฟอรั่ม แบบที่มีการเข้ารหัส
ตั้งแต่เริ่มปี 2020 เป็นต้นมา การชุมนุมประท้วงในฮ่องกงได้ค่อยๆ ดับมอดลง ซึ่งสาเหตุสำคัญเห็นกันว่ามีทั้งเนื่องจากความเหนื่อยอ่อนจากการต่อสู้อันยืดเยื้อ, การที่มีผู้ถูกจับกุมจำนวนมาก รวมแล้วกว่า 10,000 คน, และการเกิดโรคระบาดโควิด-19
มาตรการต่อสู้โรคระบาด เป็นต้นว่า ห้ามผู้คนชุมนุมในที่สาธารณะเกินกว่า 4 คน ถูกบังคับใช้แทบจะตลอดทั้งปีนี้
กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่ประกาศใช้กับฮ่องกง ยังทำให้จีนมีอำนาจควบคุมโดยตรงเหนือเขตบริหารพิเศษแห่งนี้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่การแสดงทัศนะหลายๆ อย่างถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เป็นต้นว่า การเรียกร้องเอกราช หรือการเรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง
(ที่มา : เอพี/เอเอฟพี/เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์)