“พาณิชย์”จับมือ 13 สถาบันการศึกษา ปั้นนักศึกษา Gen Z เป็น CEO ทำการค้าขายออนไลน์ ตั้งเป้าสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่รองรับยุคดิจิทัล 1.2 หมื่นรายทั่วประเทศภายในปี 64 แววดีหนุนต่อยอดตลาด ตปท.
วานนี้ (26 พ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับสถาบันการศึกษา 13 แห่ง โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เข้าร่วมว่า กระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้นักศึกษาที่อยู่ระหว่างการศึกษา หรือกำลังจะจบการศึกษาได้มีโอกาสค้าขาย และพัฒนาเป็นผู้ประกอบการการค้าออนไลน์ ภายใต้โครงการปั้น Gen Z เป็น CEO โดยได้ตั้งเป้าหมายให้มี CEO รายใหม่เกิดขึ้น 12,000 รายทั่วประเทศ ภายในปี 64 ส่วนปีนี้ได้ดำเนิน การอบรมไปแล้ว 1,500 ราย
“วันนี้รูปแบบการค้าได้มีการปรับเปลี่ยนจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ มีการใช้อีคอมเมิร์ซกันมากขึ้น กลายเป็น New Normal ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายให้ผู้ประกอบการในประเทศปรับตัวไปสู่การค้ายุคใหม่ จึงได้เร่งเพิ่มพูนความรู้การทำการค้าออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และมองลึกไปจนถึงนักศึกษาที่มี 10 กว่าล้านคน ให้เติบโตเป็นผู้ประกอบการในอนาคต จึงได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทำโครงการนี้ขึ้นมา” นายจุรินทร์ ระบุ
สำหรับการลงนามในครั้งนี้ มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วม 13 สถาบัน ได้แก่ 1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี, 3.มทร.อีสาน, 4.มทร.สุรนารี, 5.ม.แม่ฟ้าหลวง, 6.วิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล, 7.มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา, 8.มรภ.สุราษฎร์ธานี, 9.ม.วลัยลักษณ์, 10.ม.สงขลานครินทร์, 11.ม.หอการค้าไทย, 12.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ 13.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาที่มีวิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยี และประมงในสังกัดทั้งหมด 47 แห่ง รวมแล้วเป็น 59 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งให้พาณิชย์จังหวัดจาก 47 จังหวัด มาร่วมรับทราบนโยบาย เพื่อให้ช่วยในการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ในแต่ละพื้นที่ด้วยให้
“นักศึกษาทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถแปลงเวลาอบรมเป็นหน่วยกิตทางการเรียนได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันว่าจะกำหนด และเมื่อผ่านการอบรมแล้ว ก็จะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปทำการค้าในระบบออนไลน์ สามารถที่จะค้าขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้ที่ต้องการค้าขายระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ก็จะมีหลักสูตรเชิงลึกช่วยพัฒนาให้ ซึ่งจะกลายเป็นทัพหน้าในการสร้างรายได้เข้าประเทศต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว
วานนี้ (26 พ.ย.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับสถาบันการศึกษา 13 แห่ง โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เข้าร่วมว่า กระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้นักศึกษาที่อยู่ระหว่างการศึกษา หรือกำลังจะจบการศึกษาได้มีโอกาสค้าขาย และพัฒนาเป็นผู้ประกอบการการค้าออนไลน์ ภายใต้โครงการปั้น Gen Z เป็น CEO โดยได้ตั้งเป้าหมายให้มี CEO รายใหม่เกิดขึ้น 12,000 รายทั่วประเทศ ภายในปี 64 ส่วนปีนี้ได้ดำเนิน การอบรมไปแล้ว 1,500 ราย
“วันนี้รูปแบบการค้าได้มีการปรับเปลี่ยนจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ มีการใช้อีคอมเมิร์ซกันมากขึ้น กลายเป็น New Normal ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายให้ผู้ประกอบการในประเทศปรับตัวไปสู่การค้ายุคใหม่ จึงได้เร่งเพิ่มพูนความรู้การทำการค้าออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการ ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และมองลึกไปจนถึงนักศึกษาที่มี 10 กว่าล้านคน ให้เติบโตเป็นผู้ประกอบการในอนาคต จึงได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาทำโครงการนี้ขึ้นมา” นายจุรินทร์ ระบุ
สำหรับการลงนามในครั้งนี้ มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วม 13 สถาบัน ได้แก่ 1.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี, 3.มทร.อีสาน, 4.มทร.สุรนารี, 5.ม.แม่ฟ้าหลวง, 6.วิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล, 7.มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา, 8.มรภ.สุราษฎร์ธานี, 9.ม.วลัยลักษณ์, 10.ม.สงขลานครินทร์, 11.ม.หอการค้าไทย, 12.สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ 13.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาที่มีวิทยาลัยเกษตรเทคโนโลยี และประมงในสังกัดทั้งหมด 47 แห่ง รวมแล้วเป็น 59 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งให้พาณิชย์จังหวัดจาก 47 จังหวัด มาร่วมรับทราบนโยบาย เพื่อให้ช่วยในการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ในแต่ละพื้นที่ด้วยให้
“นักศึกษาทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถแปลงเวลาอบรมเป็นหน่วยกิตทางการเรียนได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันว่าจะกำหนด และเมื่อผ่านการอบรมแล้ว ก็จะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปทำการค้าในระบบออนไลน์ สามารถที่จะค้าขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้ที่ต้องการค้าขายระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ก็จะมีหลักสูตรเชิงลึกช่วยพัฒนาให้ ซึ่งจะกลายเป็นทัพหน้าในการสร้างรายได้เข้าประเทศต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว
