xs
xsm
sm
md
lg

ชะตากรรมของม็อบปลดแอก

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



หลายคนถามผมว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะจบลงอย่างไร ผมมักจะตอบว่า น่าจะยื้อกันไปจนถึงได้รัฐธรรมนูญใหม่ยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้ง ถึงตอนนั้นม็อบก็คงจะยุติลงชั่วคราว แล้วไปรอผลตัดสินว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเข้าคูหาไปเลือกพรรคไหนฝั่งไหนมาเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

แต่ระยะเวลากว่าจะไปถึงวันเลือกตั้งก็ยังอีกนานมาก เพราะตามกรอบของร่างฉบับพรรคร่วมรัฐบาลนั้นใช้เวลา 240 วันหรือ 8 เดือน หลังจากนั้นก็จะไปทำประชามติ ถ้ารัฐธรรมนูญใหม่ทำให้บทเฉพาะกาลที่ให้อำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ ยุติลง คนส่วนใหญ่ก็น่าจะยอมผ่านประชามติ เพราะถ้าไม่ผ่านรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยังคงบังคับใช้ต่อไป

หมายความว่า กว่ารัฐธรรมนูญจะร่างเสร็จจนถึงบังคับใช้ไปจนถึงได้รัฐบาลใหม่ ก็อาจจะต้องอยู่กับรัฐบาลประยุทธ์ชุดนี้ไปอีก 1 ปีกว่าหรือเกือบ 2 ปีและนั่นอาจหมายความว่า ม็อบก็จะยังคงจัดอีเวนต์บนถนนต่อไปอีกระยะหนึ่ง ผมเรียกว่า “อีเวนต์” เพราะรูปแบบการจัดชุมนุมไม่เหมือนการปราศรัยทางการเมือง เพราะมีเนื้อหาในการปราศรัยน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการตะโกนด่าทอ แล้วเน้นการจัดกิจกรรมเสียมากกว่า

ว่าไปแล้วม็อบรูปแบบนี้รัฐบาลเขาก็ปล่อยให้จัดไป เป็นม็อบประเดี๋ยวประด๋าว 3-4 ชั่วโมงแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน และเห็นแล้วว่า การจัดกิจกรรมแต่ละครั้งล้วนแล้วแต่ทำลายความชอบธรรมของตัวเองลง เช่น การพูดถึงพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ด้วยถ้อยคำที่หยามเหยียด รวมถึงการไปสาดสีเปรอะเปื้อนสถานที่ราชการ ละเลงไปถึงป้ายรถเมล์ พื้นถนน ทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงกำแพงวัดพร้อมกับการส่งเสียงว่า “ภาษีกูๆ” หรือกระทั่งการพูดถึงเสรีภาพของการร่วมเพศ

แต่ผู้ใหญ่ที่เชียร์ม็อบก็จะคอยบอกให้ท้ายเด็กว่า ม็อบมีพัฒนาการที่สร้างสรรค์และมีความคิดบรรเจิดไม่อยู่นิ่งจนยากที่ผู้ใหญ่ไดโนเสาร์จะตามทัน ยุให้ม็อบทะลุทะลวงเพดานขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับคดีความที่สะสมเพิ่มขึ้นของพวกเขา จนกลายเป็นม็อบสะสมคดีก็ว่าได้

บางคนบอกว่า ทำไมผู้ใหญ่ไม่พยายามทำความเข้าใจเด็ก รับฟังข้อเรียกร้องของพวกเขา ถ้าไม่หนักหนาสาหัสเด็กๆ คงไม่ออกมาชุมนุมประท้วง แต่จริงๆ เราก็ได้ยินผู้ใหญ่จำนวนมากที่ช่วยกันอธิบายเพื่อให้เด็กมีสติและคิดทบทวนสิ่งที่กระทำลงไป แต่คำตอบคือ พวกเขาไม่ฟัง เมื่อเทียบกับความเชื่อต่อเสียงที่ยุยงให้พวกเขาพุ่งชนเป้าหมายด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

วันนี้ชัดเจนแล้วว่า เป้าหมายของเขาไม่ใช่รัฐบาลประยุทธ์แต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นไม่แปลกใจหรอกที่เมื่อมีใครส่งเสียงบอกว่า ให้ตัดข้อเรียกร้องเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ออกไปจะมีคนเข้าร่วมจำนวนมากแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง และถูกตอกกลับจากอานนท์ นำภาว่า มีแต่จะตัดข้อที่ 1 และ 2 ออกไป เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ในข้อเรียกร้องที่ 3 นั่นเอง

เราจึงได้ยินอานนท์ เพนกวินเดินสายพูดโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ และในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ อย่างตรงไปตรงมาเปิดเผยโล่งแจ้งไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง เพราะคนที่หนุนหลังพวกเขาบอกว่า พวกเขากำลังชนะ ยิ่งไต่เพดานขึ้นไปเรื่อยๆ ชัยชนะก็ยิ่งใกล้เข้ามา แม้รัฐบาลประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตราเข้าจัดการก็ไม่สามารถยับยั้งความห้าวหาญของพวกเขาให้บั่นทอนลงได้

แต่ถ้าถามว่าพวกเขาจะชนะได้อย่างที่ผู้ใหญ่บางคนกำลังยุยงให้ท้ายพวกเขาหรือไม่ สำหรับผมแล้วคิดว่าไม่เลย เพราะเห็นได้แล้วว่า รัฐบาลพยายามจะใช้ความอดทนอดกลั้นในการเข้าจัดการกับปัญหาแทนการใช้ความรุนแรง และประชาชนที่ยังเคารพและศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศก็พยายามใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างถึงที่สุด ซึ่งยิ่งทำให้ม็อบต้องเพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทางวาจาและการกระทำ

อาจจะมีคนอีกฝั่งอยู่บ้างที่หัวร้อนทนรับฟังและนั่งมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่บ้าง จะเอาม็อบมาชนม็อบ แต่เห็นแล้วว่าสังคมต่างช่วยกันเตือนสติให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากให้โศกนาฏกรรมแบบ 6 ตุลาเกิดขึ้นซ้ำมาอีก และเห็นว่าเด็กหลายคนยังคงเยาว์วัยพฤติกรรมของพวกเขาเกิดขึ้นเพราะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกปลุกปั่นขึ้นจากคนอย่างสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล บวกกับสืบทอดความถ่อยต่ำช้าของปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์มาเท่านั้นเอง

แม้ว่าแกนนำหลักของม็อบจะไม่หวั่นไหว เพราะเชื่อว่าพวกเขาหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว รวมทั้งคงปลุกขวัญกันไว้ว่า การต่อสู้ของพวกเขานั้นเป็นความชอบธรรมที่สากลยอมรับ สามารถขอลี้ภัยไปเป็นพลเมืองชั้นสองที่ไหนก็ได้ แต่คนที่คึกคะนองตามแกนนำชูป้ายหมิ่นสถาบันในที่ชุมนุมหรือบนโซเชียลมีเดียก็ต้องคิดให้ได้ว่า ตัวเราอาจไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับแกนนำ สุดท้ายต้องเผชิญชะตากรรมกับคดีความที่ตามมา ลูกใครหลานใครก็เตือนๆ กันไว้บ้างก็ดี

เพราะเห็นได้ว่าวัยคึกคะนองแบบนี้มักจะแข่งกันว่าใครแรงและห้าวถึงที่สุดได้มากกว่ากัน เมื่อความเดือดร้อนมาถึงตัวก็สายไปเสียแล้ว

หากจะกล่าวให้ถึงที่สุดว่า ม็อบจะจบลงอย่างไร สำหรับผมแล้วตอบเลยว่า ม็อบคงทำอะไรรัฐบาลไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะการมุ่งโจมตีทั้งรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ก็ยิ่งทำให้กองทัพกับรัฐบาลมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น และที่ผ่านมา 10 กว่าปีมานี้มีบทเรียนมาแล้วว่า ไม่มีม็อบไหนโค่นรัฐบาลได้ถ้าไม่จบลงด้วยการรัฐประหาร

วันนี้เราคงได้ยินแม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเผยออกมาพูดว่า กลัวประชาชนจะออกมาตีกัน ราวกับว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของประชาชนกับประชาชน

ยิ่งความคิดบ้องตื้นที่ผู้ใหญ่แอบอยู่ข้างหลังเด็กแล้วยุยงให้พวกเขาออกมาต่อสู้บนท้องถนนว่าชัยชนะของประชาชนกำลังจะเกิดขึ้นนั้น ยิ่งเป็นความคิดที่โง่เขลามาก เพราะการปฏิวัติของประชาชนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนั้น จะเกิดขึ้นได้เพราะประชาชนมีความเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวและลุกขึ้นสู้พร้อมกันเท่านั้น ไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบันที่ประชาชนแตกแยกเป็นสองฝ่าย และคนจำนวนมากยังคงยึดมั่นศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงแต่ว่าพวกเขาต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น

แน่นอนไม่มีใครอยากทำร้ายเด็กที่ถูกปลุกปั่นให้ออกมาชุมนุมตราบใดที่พวกเขาไม่ใช้ความรุนแรงหรือปลุกปั่นจนบ้าคลั่ง แต่ถ้าถึงขั้นนำความชอบธรรมก็จะมาอยู่ในมือของฝ่ายอำนาจรัฐในที่สุด พร้อมกับการที่กฎหมายเดินไปข้างหน้าเพื่อทำหน้าที่ของมัน

บทที่ยากที่สุดของแกนนำและคนที่ถูกดำเนินคดีแม้ไม่ได้เป็นแกนนำก็คือ วันที่เดินขึ้นศาลเมื่อเสียงไชโยโห่ร้องชื่นชมในความห้าวหาญเงียบเสียงลง แม้แรกๆ จะมีกองเชียร์ตามแห่แหนอยู่บ้าง แต่นานวันไปทุกคนก็จะลืมและปล่อยให้เราเดินขึ้นศาลตามลำพัง

เมื่อถึงวันนั้นและชะตากรรมที่แท้จริงจะปรากฏเมื่อเราโดดเดี่ยวอยู่ในคอกหน้าบัลลังก์ศาล เว้นเสียแต่ว่าจะกลายเป็นผู้ลี้ภัยนั่นแล

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น