ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เมื่อวานและเมื่อคืน ผมติดตาม Telegram ของกลุ่ม Free Youth ม็อบปลดแอกทั้งคืน แน่นอนว่าเนื้อหาที่นำเสนอเป็นการนำเสนอความเห็นฝ่ายเดียว เข้าข้างตนเอง ว่าเป็นผู้ถูกกระทำรุนแรง จากเจ้าหน้าที่ตำรวจและมวลชนเสื้อเหลือง ที่มีปืนยิง มีระเบิดปิงปอง มวลชนเสื้อเหลืองขว้างปาก้อนหินใส่ มวลชนเสื้อเหลืองทำร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้าย ผมเห็นการปลุกปั่นเรียกแขกใน Telegram ของกลุ่มเยาวชนปลดแอกที่ทำอย่างเป็นระบบด้วย infographic ที่มีความคิดสร้างสรรค์สวยงามระดับมืออาชีพ ยิงส่งเข้ามาแทบจะทั้งวันทั้งคืน
อีกฟากหนึ่งผมก็ได้เห็นความจริงเมื่อลุงหน่อง พันตำรวจเอกภาคภูมิ สุนทรศร อดีตรองผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้โพสต์ Facebook ว่า
| ลูกน้องเล่าให้ฟังว่า นายส่งพวกผมไปควบคุมฝูงชน แต่สั่งไม่ให้ตอบโต้อะไร แล้วพวกผมถูกไล่ตี ต้องหนีเหมือนหมูเหมือนหมา ตอบโต้เพื่อป้องกันตัวอะไรไม่ได้ ได้แต่ถือโล่ห์กับกระบองยาง แต่ห้ามตี เกะกะเปล่า แบบนี้ให้พวกผมไปแต่ตัวเปล่า ๆ กับหัวใจก็ได้ ไม่ต้องให้มีโล่ห์กับกระบอง เพราะพวกมันก็รุมแย่งเอาไปอีก รถทางราชการก็เสียหายหลายคัน ได้แต่ทนที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ที่ต้องฝืนใจ พวกผมไม่ใช่หุ่นยนต์ มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกเหมือนกัน |
ความรุนแรงที่เกียกกายและรัฐสภาเมื่อวานนี้ เกิดขึ้นอย่างจงใจ ปัญหาส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับกันว่ามาจากมวลชนเสื้อเหลืองด้วย ที่ค่อนข้างเลือดร้อน แต่ก็เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครยอมให้อีกฝ่ายทำร้ายโดยไม่โต้ตอบ เพราะปุถุชนคนธรรมดามีเลือดมีเนื้อไม่อาจจะทำเช่นพระเยชูสอนเอาไว้ว่า “ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย” (มัทธิว 5:39) ได้ก็หาไม่ คงต้องลงมือโต้ตอบกลับไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฉวยหินได้ก็คว้าปากลับคืนเช่นนี้เป็นต้น
มวลชนเสื้อเหลืองเมื่อวานก็เลือดร้อนพอควร และไม่ยอมกลับบ้าน หลังจากเจ้าหน้าที่เจรจากับแกนนำมวลชนเสื้อเหลืองอยู่นาน ถึงได้ยอมออกไป
โดยส่วนตัวผมมีความเห็นว่าไม่ควรขนมวลชนเสื้อเหลืองไปบริเวณที่มวลชนปลดแอกอยู่ เพราะจะเกิดการปะทะและการบาดเจ็บล้มตายได้โดยง่ายเหลือเกิน มีความเสี่ยงสูงเกินไป ทั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย
เท่าที่สายข่าวรายงานมา เย็นนี้จะมีการชุมนุมที่ราชประสงค์ และเมื่อมีการเรียกแขกเรียกคนกันอย่างเต็มที่ คาดว่าวันนี้ที่แยกราชประสงค์จะมีคนมาร่วมชุมนุมปลดแอกด้วยพอสมควร
เย็นนี้จะมีการเผาบ้านเผาเมือง ปล้นร้านค้า ที่แยกราชประสงค์หรือไม่?
ร้านค้า ห้างสรรพสินค้าย่านราชประสงค์ มีบทเรียนมาแล้วมากมาย คงไม่ปล่อยให้เข้าไปทำอะไรได้ง่าย ๆ เหมือนกัน คงมีการยิงปืนสวนออกมาหากมีการบุกรุก เข้าปล้น หรือ คิดจะเผา อันนี้คือคำเตือนสำหรับผู้ที่คิดจะสร้างสถานการณ์
ผมเริ่มสังเกตเห็นการตัดพ้อด่าทอรัฐบาลว่าไม่ดำเนินการอะไรกับพวกม็อบปลดแอกล้มเจ้า เช่น
| ไม่ไหวแล้ว ไม่ขอรับรู้อะไรแล้ว กลัวอะไรกัน ทำไมถึงขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมกันขนาดนี้เกรงใจคนชุมนุม แล้วไม่สนใจความรู้สึกของพวกเราที่รักชาติ รักแผ่นดินด้วยความจงรักภักดีบ้างเลยหรือไร พยายามเอาใจช่วยรัฐบาลมาตลอด มีอะไรที่จะช่วยให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เพื่อให้บริหารประเทศให้เดินหน้าได้ แต่ถึงเวลานี้บอกตรง ๆ ว่าไม่พอใจการตัดสินใจของรัฐบาลที่ไม่ใช้กฎหมายจริงจัง ทำอะไรตามครรลองของกฎหมายบ้างเถอะ ความชอบธรรมมีอยู่แล้ว อย่าทำให้คนที่เขาสนับสนุนรัฐบาลผิดหวังเลยนะคะ |
ม็อบปลดแอกจะทำอะไรต่อไป ความขัดแย้งในประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ขั้นที่ 4 ตามคำพยากรณ์เจ็ดจุดเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองของเรา คือ ความรุนแรง การนองเลือด ตามบทความ คำพยากรณ์เจ็ดจุดเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองของเรา https://mgronline.com/daily/detail/9630000116937
ผมพยากรณ์ว่าอีกไม่นานจะมีแกนนำปลดแอกต้องตาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ความเป็นไปได้ในการก่อความรุนแรงกับแกนนำล้มเจ้า/แกนนำสนับสนุนสถาบันมีได้หลายทาง ยกตัวอย่างเช่น
1.ต่างชาติที่อยู่เบื้องหลังม็อบ โดยการสนับสนุนเงินทุน ให้มายกธงอุยกูร์ ซินเจียง ให้ตะโกนว่าฮ่องกง ไต้หวัน และทิเบต เป็นประเทศเอกราช อาจจะลงมือฆ่าแกนนำม็อบล้มเจ้า บางคน โดยเฉพาะแกนนำที่ไม่มีค่าราคาถูก ไร้การศึกษา ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง ที่จะมาโวยวายทีหลัง มีโอกาสถูกฆ่าตายมากที่สุด การทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวาย เอาศพมาแห่ และวิธีการเช่นนี้ เคยทำมาแล้วในหลายประเทศ
2. แกนนำหรือพรรคการเมืองบางพรรค อาจจะตัดสินใจหักหลังฆ่ากันเอง เพราะการทำม็อบต้องมีผลงานและมีการยกระดับ เมื่อโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไปจนถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่อาจจะเรียกมวลชนได้มากพอ การฆ่ากันเองเอาศพมาแห่จะช่วยยกระดับการชุมนุมให้ใหญ่โตขึ้น
3. ม็อบชนม็อบ ขาดสติทั้งสองฝ่าย มีการประชาทัณฑ์ จนมีคนตาย มีการฆ่ากันตาย รุมกระทืบ เพราะอารมณ์อันเกลียดชัง ฮึกเหิมและลงหายในฝูงชน
4. นายทหารเกษียณนอกราชการ ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงยิ่ง เกิดความบ้าคลั่ง สละชีพเป็นราชพลี เดินเข้าไปในการชุมนุมของกลุ่มปลดแอก ซ่อมปืนหรือระเบิด อาจจะกราดยิงใส่มวลชน หรืออาจจะฆ่าแกนนำมวลชนจำนวนมาก แล้วฆ่าตัวตาย กรณีนี้อาจจะเป็นอดีตมือปืนหรืออดีตนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นคนลงมือก็ได้
5. แกนนำมวลชนล้มเจ้า ก็อาจจะสั่งยิงหรือถือโอกาสยิงแกนนำมวลชนอีกฝั่งเมื่อเกิดการตะลุมบอน ม็อบชนม็อบเพื่อให้เป็นผลงานของตนเองก็ได้
ความตายของแกนนำม็อบปลดแอกจะเป็นชนวนให้เกิดการพัฒนาและยกระดับการชุมนุม การชุมนุมใด ๆ ในโลกนี้ก็ตามต้องมีรางวัลและความสำเร็จเพื่อเรียกมวลชน ศพของแกนนำเป็นเครื่องมือเรียกมวลชนที่ได้ผลเสมอมา ดังนั้นต้องมีแกนนำม็อบปลดแอกที่ต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน
หากความรุนแรงและการนองเลือดเกิดขึ้น แล้วรัฐบาลยังไม่กล้าทำสิ่งใด ๆ ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าปราบม็อบ ทำให้สูญเสียภาวะผู้นำ ขาดหลักนิติรัฐ และขาดการบังคับใช้กฎหมาย ปล่อยให้ม็อบปลดแอกอยู่เหนือกฎหมายแล้วไซร้
ประเทศไทยก็เข้าสู่ขั้นที่ห้าของคำพยากรณ์เจ็ดจุดเปลี่ยนผ่านบ้านเมืองของเราคือภาวะรัฐล้มเหลว และอนาธิปไตย
ความรุนแรงนี้ไม่มีทางจะสงบลง ต้องฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะเท่านั้นถึงจะจบลง และมีอีกฝ่ายที่รู้ว่ากำลังจะถูกปราบอย่างหนักด้วยกฎหมายที่ได้ทำผิด มีคดีติดตัวมากมาย
ผมคิดว่าประเทศไทยมีความขัดแย้งและแตกแยกทางความคิด จนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความรุนแรง การนองเลือด การเข่นฆ่าประหัตประหาร กันได้อีกแล้ว ถึงอย่างไรก็เกิดการนองเลือด ภาวะรัฐล้มเหลว อนาธิปไตย และเหตุการณ์ที่รัฐสภาและแยกเกียกกายได้เป็นจุดเริ่มต้นอย่างชัดเจนและจะขยายผลโหมโรงออกไปเรื่อย ๆ จนไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์ได้
ขอจงสติและปัญญาจงมีแด่ทุกท่าน สำหรับมวลชนเสื้อเหลืองเอง ควรหลีกเลี่ยงการไปชุมนุมที่จะปะทะกับมวลชนปลดแอกในทุกกรณี ควรมีสติ ใจเย็น และปล่อยให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินการตามกฎหมาย (แม้จะช้าและไม่ได้ผลดังใจก็ตาม)
ประเทศไทย คงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงรัฐประหารได้เสียแล้ว เพราะอำนาจรัฐนั้นก็อยู่ที่ปลายกระบอกปืน


