xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.ลั่นปี64รายได้โตขึ้น ทุ่มงบผุดโรงแยกก๊าซฯ7 เล็งซื้อรง.ยา-ลงทุนรถอีวี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน 360-ปตท.มั่นใจปี 64 รายได้โตขึ้นกว่าปีนี้ จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นมาอยู่ในกรอบ 40-50เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตั้งเป้า 10 ปีข้างหน้า กลุ่ม ปตท. มีกำลังการไฟฟ้าจากฟอสซิลและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นรวม1.6 หมื่นเมกะวัตต์ แย้มปี 64 ทุ่มงบลงทุนสูงขึ้นกว่าปกติ เพื่อตั้งโรงแยกก๊าซฯ หน่วย 7 วงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท เล็งซื้อกิจการโรงงานผลิตยาในต่างประเทศ และมองโอกาสลงทุนโรงงานรถยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี)

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ปี 2564 มีทิศทางที่ดีขึ้นจากปี 2563 เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในกรอบ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีนี้ที่เฉลี่ย 41-42 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และปริมาณขายที่น่าจะเพิ่มขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัว หลังนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้แนวโน้มสงครามการค้าสหรัฐ-จีนผ่อนคลายลง และสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น หากมีค้นพบวัคซีนต้านโควิด-19 ออกมา

ทั้งนี้ นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ มีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนมากกว่าพลังงานจากฟอสซิล ทำให้การผลิตน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ออกมาน้อยลง เป็นผลดีต่อทิศทางราคาที่จะปรับเข้าสู่สมดุล

ส่วนการจัดทำงบประมาณและแผนงานของ ปตท. ได้เตรียมนำแผนงานและงบลงทุน 5 ปี (ปี 2564-68) เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปตท.ในเดือนธ.ค.นี้

นายอรรถพลกล่าวว่า กลุ่ม ปตท. ได้วางเป้าหมายมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิสเพิ่มเป็นระดับ 8,000 เมกะวัตต์ (MW) เช่นเดียวกับพลังงานทดแทนในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีไฟฟ้าจากฟอสซิลอยู่กว่า 5,000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอความชัดเจนโครงการ Gas to Power ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ขนาด 600 เมกะวัตต์ในเมียนมา

สำหรับแผนการหากำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เพิ่มเป็น 8,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตกว่า 500 เมกะวัตต์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) อยู่ 2-3 ดีลในต่างประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/2564 โดยการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. จะใช้ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เป็นแกนนำ

นางอรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มปตท.ตั้งงบลงทุนปีละราว 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนเฉพาะ ปตท. ราว 8 หมื่นล้านบาท โดยปีหน้า ปตท. คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสูงกว่าปกติ เนื่องจากมีแผนลงทุนก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 7 แห่งใหม่ และการลงทุนธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจยา

โดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 7 จะทดแทนโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 1 ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 30กว่าปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 1 หมื่นกว่าล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างหาผู้รับเหมา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2564 และแล้วเสร็จในปี 2566 โดยโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 7 นี้ จะมีกำลังการผลิตเท่ากับโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 1 หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปัจจุบันผลิตอยู่ 350 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน

ส่วนธุรกิจยาถือเป็นธุรกิจ Life Science ซึ่งเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่บริษัทให้ความสนใจ โดยเตรียมจัดตั้งบริษัทใหม่ เพื่อเข้าไปลงทุนซื้อกิจการโรงงานผลิตยาในต่างประเทศ โซนเอเชีย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะและบัญชีธุรกิจ (Due diligence) คาดว่าปีหน้าจะได้ข้อสรุป

นอกจากนี้ ปตท. ยังมองโอกาสต่อยอดในการตั้งโรงงานรถยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในอนาคตด้วย แต่การจะลงทุนยังต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ


กำลังโหลดความคิดเห็น