ถ้าไม่ชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้นำทำเนียบขาวสมัยที่ 2 นอกจากโดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องสุดช้ำในหัวอกแทบรากเลือดแล้ว ยังจะต้องเผชิญมรสุมชีวิตส่วนตัว และในธุรกิจอีกมาก ทั้งเรื่อง 4 คดีข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อดูหลักฐานโจทก์แล้วทำท่าว่าทรัมป์จะรอดยาก
ไหนจะต้องเตรียมหาเงินใช้หนี้ร้อนๆ 300-400 ล้านดอลลาร์ ยังต้องมีคดีความเรื่องภาษีเงินได้ ซึ่งเข้าข่ายถูกสงสัยว่าจะมีการหลบเลี่ยงหลายปี และธุรกรรมการเงินกับผู้ให้กู้จากนอกประเทศ ทำให้เรื่องต่างๆ ที่ทำไว้ก่อนเป็นประธานาธิบดีจะตามมาเช็กบิล
วันก่อนหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ ก็เปิดโปงอีกว่าทรัมป์ติดค้างหนี้ธนาคารในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในนครชิคาโก หลังจากดิ้นรนพยายามหาทางใช้หนี้แล้ว ผลสุดท้ายเจ้าหนี้บางส่วนได้ยอมยกหนี้ให้ และยังมีคดีฟ้องร้องอยู่กับบางราย
ถ้าไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ เท่ากับสิ้นวาสนา และกฎหมายคุ้มครอง ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามเส้นทางปกติ ทรัมป์ก็จะเป็นบุคคลธรรมดา ต้องขึ้นศาล เสี่ยงติดคุก
ดูแต่ละคดีแล้ว น่าหนักใจแทนท่านผู้นำจอมห้าวจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงประกาศว่าหัวเด็ดตีนขาดถ้าแพ้เลือกตั้ง จะไม่ยอมออกจากทำเนียบขาว มอบโอนตำแหน่งให้โจ ไบเดน ง่ายๆ ต้องสู้คดีในศาลจนถึงที่สุด อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด
ล่าสุด ทรัมป์และทีมทนายความต้องคิดหนัก เพราะคดีที่คอลัมนิสต์ อี. ยีน แครอล ได้ฟ้องทรัมป์ในข้อหาข่มขืนและหมิ่นประมาท ในศาลนิวยอร์ก จะเดินหน้าต่อไปหลังจากที่กระทรวงยุติธรรมได้พยายามช่วยเหลือด้วยการรับเป็นจำเลยแทนท่านผู้นำ
กระทรวงยุติธรรมอ้างว่าทรัมป์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อตอนที่กล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์ที่ว่า “เธอโกหก ผมไม่ได้ข่มขืน เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ผมชอบ” แต่ตุลาการลูอิส แคปแลนวินิจฉัยว่าทรัมป์ไม่ใช่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐในแบบการจ้างงาน
ข้อกล่าวหา นอกจากเรื่องข่มขืน ยังมีเรื่องหมิ่นประมาทที่ว่าเธอโกหก คดีถูกนำไปฟ้องในศาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 แต่ยังไม่เดินหน้าเพราะกระทรวงและทนายความของทรัมป์ได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทรัมป์ต้องเป็นจำเลยโดยตรง
ถ้าศาลชี้ว่าทรัมป์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คดีคงไปต่อไม่ได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐในขณะปฏิบัติหน้าที่ เมื่อออกมาแนวนี้ ทรัมป์ต้องมีเสียวสันหลัง
ตุลาการลูอิสชี้อีกว่า “สิ่งที่ทรัมป์ได้กระทำลงไป ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แต่เป็นการกระทำส่วนตัว” ทำให้กระทรวงถูกมองว่าได้เป็นเครื่องมือของทรัมป์ และขาดความเป็นองค์กรอิสระเมื่อพยายามรับงานแก้ต่างคดีให้ทรัมป์
ตุลาการลูอิสชี้อีกว่าคำพูดของทรัมป์ส่อให้เห็นว่าข้อกล่าวหามีมูล ในเหตุที่เกิดช่วงทศวรรษ 1990 และเป็นเวลาที่ทรัมป์เป็นบุคคลธรรมดา รัฐบาลไม่เกี่ยวด้วยทั้งสิ้น
นี่เป็นการฟ้องว่ากระทรวงยุติธรรมไม่ได้เป็นองค์กรอิสระ และรัฐมนตรีวิลเลียม บาร์ ซึ่งถูกมองว่า “ทำตัวเป็นทนายแก้ต่าง” ให้ทรัมป์ในคดีต่างๆ ไม่ได้ทำหน้าที่ของรัฐมนตรียุติธรรมตามกฎหมาย และที่ผ่านมาบาร์ถูกวิพากษ์หนักในบทบาทด้านนี้
นี่เป็นคดีที่ทรัมป์หนักใจ เพราะนางแครอลอ้างว่ามีหลักฐานเป็นคราบอสุจิของทรัมป์ที่ติดเปื้อนชุดของเธอในช่วงที่ทรัมป์ได้ข่มขืนเธอในห้องทดลองชุดในห้างดัง เบิกร์ดอร์ฟ กู๊ดแมน ในนครนิวยอรก์ ขณะที่ทรัมป์ได้แสร้งให้เธอทดลองชุดชั้นใน
เหตุเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 1995 หรือต้นปี 1996 เมื่อทั้งคู่เดินชนกันในห้างขณะที่ทรัมป์อ้างว่ากำลังเดินเลือกซื้อชุดชั้นในสตรีอยู่ และทรัมป์ได้แกล้งพูดเล่นกับเธอว่าขอให้เธอสวมชุดให้ดูก่อนที่ทรัมป์จะตัดสินใจซื้อ ยังไม่มีหลักฐานว่าทำไมเธอถึงยอม
ช่วงนั้นทรัมป์ยังเป็นหนุ่มใหญ่ หน้าตาหล่อ ร่ำรวย เป็นคนดังในฐานะมหาเศรษฐีและดาราทีวีในรายการ The Apprentice เขียนหนังสือขายดีติดอันดับหนึ่ง
แคร์โรลอ้างว่าขณะที่อยู่ในห้องลองชุด ทรัมป์ได้เข้าไปและได้ข่มขืนเธอด้วยการล็อกตัวเธอและดันให้ติดผนังห้อง และจากนั้นทรัมป์ได้คร่อมร่างของเธอ ทรัมป์เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ เธออ้างว่าต้องดิ้นรนใช้ความพยายามอย่างสุดแรงเกิดกว่าจะหลุดได้
ด้วยเหตุนี้เธอพยายามยื่นต่อศาลขอตรวจดีเอ็นเอของทรัมป์เทียบกับคราบอสุจิที่ติดกับชุดของเธอออกแบบโดยดอนนา คาราน ช่วงนั้นทั้งคู่อยู่ในวัย 50 ต้นๆ และทรัมป์ยังแต่งงานอยู่กับดาราภาพยนตร์ มาร์ลา เมเปิลส์
ความพยายามของแคร์โรลที่จะขอดีเอ็นเอของทรัมป์ยังไม่ประสบความสำเร็จก็จริง เมื่อคดีนี้เดินหน้าไปในศาลรัฐบาลกลางแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปรียบเทียบดีเอ็นเอของทรัมป์กับคราบอสุจิได้ ถ้าศาลสั่งให้ขอหลักฐานด้านนี้
การเปรียบเทียบจะเป็นการพิสูจน์ชัดว่าข้อกล่าวหาของแคร์โรล ซึ่งตอนนี้ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารสตรี Elle ว่าเป็นความจริงหรือไม่
ถ้าทรัมป์ยังเป็นประธานาธิบดีต่อไป ไม่แน่ใจว่าคดีนี้จะหยุดชะงักหรือไม่ หรือคดีต้องรออีก 4 ปี จนกว่าทรัมป์จะสิ้นวาระสมัยที่ 2 และไม่มีทางเป็นต่อได้อีก
แต่ทรัมป์ยังมีคดีกับสตรีอีก 2-3 คดี เป็นจำเลยในคดีข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อดูหลักฐาน ข้อกล่าวหาแล้ว น่าหนักใจแทนท่านผู้นำจริง ชีวิตบั้นปลายคงไม่มีสุข
ด้วยเหตุนี้ทรัมป์ประกาศว่าถ้าแพ้ คงไม่ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ อีก น่าจะหนีคดีไปอยู่ในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และต้องอยู่กับความอัปยศตลอดไป