ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
การคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา นั้นเป็นการแย่งชิงราชสมบัติ ผลัดแผ่นดิน เปลี่ยนราชวงศ์ การรบราฆ่าฟันเจ้านายสมัยกรุงศรีอยุธยาหากสำเร็จก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน หากไม่สำเร็จก็เป็นการกบฏ แต่กระนั้นก็ตามอยุธยาก็มีการผลัดแผ่นดินจนมีพระราชวงศ์ถึงห้าพระราชวงศ์ในระยะเวลา 400 กว่าปีของกรุงศรีอยุธยา
กรุงรัตนโกสินทร์ ไม่เคยมีการนองเลือดในการผลัดแผ่นดิน เจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชวงศ์จักรี ต่างตระหนักว่าการเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นพระราชภาระอันหนักอึ้ง และผู้ที่มีสิทธิโดยชอบธรรมเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์
การผลัดแผ่นดินในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น ในสมัยรัชกาลที่สอง มาเป็นรัชกาลที่สาม ก็เกิดจากมติของพระบรมวงศานุวงษ์และขุนนางน้อยใหญ่ ที่กราบทูลอัญเชิญ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ผู้ทรงมีอำนาจ มีพระปรีชา และพระบารมีสูงสุดในเวลานั้น ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะไม่ได้เป็นพระราชโอรสที่ประสูติในเศวตฉัตร และไม่ได้เป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสี แต่ทรงมีความเหมาะสมที่สุดในเวลานั้น
แต่ การคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นั้นเคยมีเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเมื่อพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดสั่นคลอน ไม่มั่นคง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จ้วงจาบหยาบช้า เถื่อนถ่อย สารเลว หยาบคาย แสดงกิริยาชั้นต่ำได้ขนาดนี้ เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2563 ที่มีการชูนิ้วกลางนิ้วเดียว ชูสามนิ้ว ล้อมประชิดหน่วงเหนี่ยวรถพระที่นั่ง ตะโกนขับไล่ และตะโกนด่าด้วยคำผรุสวาทที่แสนหยาบคายนั้น ผมยืนยันว่าไม่เคยเกิดขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์
บทความนี้ต้องการทบทวนให้เห็นว่ามีการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เช่นไรบ้าง เพื่อให้สังคมได้เกินความเข้าใจว่า ไม่เคยมีการกระทำเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่เคยมีการกระทำที่หยาบคาย เหิมเกริมเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน เพื่อให้สังคมได้เข้าใจว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ รุนแรง หยาบช้า และสร้างความแตกแยกต่อแผ่นดิน เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และราชบัลลังก์เพียงใด และควรต้องหาวิธีการที่เหมาะสมในการกำจัดขยะแผ่นดินให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร
ในต้นรัชกาลที่ 5 มีการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ดังนี้
การผลัดแผ่นดินจากสมัยรัชกาลที่ 4 มาเป็นรัชกาลที่ 5 ในขณะที่ปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ขุนนางตระกูลบุนนาคมีวาสนาบารมีสูงที่สุดในแผ่นดิน ทั้งพระราชโอรสองค์ใหญ่คือสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ก็ประชวรหนักยิ่ง และพระราชโอรสและพระราชธิดาร่วมพระราชบิดาที่เป็นพี่น้องก็ต่างยังทรงพระเยาว์กว่าทั้งสิ้น
อำนาจวาสนาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นเช่นไรมีการบันทึกเรื่องราวไว้ดังนี้
" ... พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภา ได้เสด็จพร้อมพระพี่นางพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรีและพระมารดาเจ้าคุณจอมมารดาสำลี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวสมเด็จเจ้าพระยาฯ เพื่อไปช่วยงานแซยิดของท่าน ต้องเสด็จไปประทับแรมกับเจ้าคุณจอมมารดาบนตึกสมเด็จเจ้าพระยาฯ เช่นเดียวกับญาติผู้น้อยทั้งหลายที่ไปช่วยงาน
ถึงวันงาน เจ้าคุณจอมมารดาแต่งองค์พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๒ พระองค์ ทรงเกี้ยวทรงนวมเต็มยศไปที่ห้องโถงหน้าตึก อันเป็นทางที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ จะเดินผ่านไปหอนั่งข้างหน้าเพื่อเลี้ยงพระ เจ้าคุณจอมมารดาต้องพาพระเจ้าลูกเธอทั้ง ๒ พระองค์ไปหมอบอยู่ที่ห้องโถง พร้อมกับคนในสกุลบุนนาคคนอื่นๆ สมเด็จเจ้าพระยาฯนุ่งผ้าลอยชาย เมื่อผ่านมาเจ้าคุณจอมมารดาก็ให้พระเจ้าลูกเธอทรงกราบ สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็ทักทายเพียงว่า "อ้อ! พวกเจ้าเขาก็มาเหมือนกันหรือ" แล้วก็เดินต่อไป ... "
การที่ขุนนางจะนุ่งผ้าลอยชายเมื่อเจ้านายเสด็จนั้นเป็นความไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง เจ้านายเล็กๆ ในสมัยนั้น รวมไปถึงขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง ต่างก็เกรงกลัวบารมีของสมเด็จเจ้าพระยากันทั้งสิ้น
เมื่อเกิดการผลัดแผ่นดิน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในการประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางเมื่อคราผลัดแผ่นดิน สมเด็จเจ้าพระยาได้เสนอให้ตั้งวังหน้า มีเจ้านายคือกรมขุนวรจักรธรานุภาพ (ต้นราชสกุล ปราโมช) ทรงทักท้วงในที่ประชุมว่า ควรรอให้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ทรงตั้งวังหน้าด้วยพระองค์เอง จึงทำให้ทรงถูกถามกลับโดย สมเด็จเจ้าพระยา ว่า หรือว่าจะเป็นเสียเอง และกรมขุนวรจักรธรานุภาพ ก็ทรงตอบกลับไปว่าถ้าเช่นนั้นก็ต้องยอม ทำให้มีการตั้งกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นวังหน้า และภายหลังทำให้เกิดวิกฤติวังหน้า-วังหลวง เป็นเรื่องใหญ่โตที่รัชกาลที่ห้าต้องทรงแก้ไข และภายหลังทรงให้ยกเลิกตำแหน่งวังหน้าเสียและโปรดเกล้าให้มีตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมารแทนเยี่ยงอารยประเทศ
ในงานถวายน้ำสรงพระบรมศพรัชกาลที่ 4 สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์หรือพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ในเวลานั้นประชวรหนักมาก แทบจะสิ้นพระชนม์ด้วยไข้มาลาเรีย ท่านผู้หญิงพัน เอกภรรยาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เมื่อได้เห็นสภาพพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ถึงกับอุทานออกมาว่า “โถพ่อคุณ พ่อจะอยู่ไปได้สักกี่วัน” แต่รัชกาลที่ห้าก็ได้ทรงดำรงพระชนม์ชีพยืนยาวมาจนท่านผู้หญิงพันถึงแก่อนิจกรรม แม้จะไม่ได้เสด็จไปพระราชทานเพลิงศพให้ดังที่ตั้งพระทัยไว้เพราะอยู่ในช่วงเสด็จประพาสทวีปยุโรปพอดี
ความที่สมเด็จเจ้าพระยาและขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจมหาศาล และมีท่าทีที่ดูจะคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ไปบ้าง มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) ถึงกับเป็นห่วง ได้จุดไต้ (คบไฟ) และถือตาลปัตรกลางวันแสกๆ พายเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปหน้าบ้านสมเด็จเจ้าพระยาที่ฝั่งธนบุรี ที่คลองสาน เพื่อเป็นปริศนาธรรมเตือนสติสมเด็จเจ้าพระยา โดยพูดว่า ที่นี่มืดจริงหนอ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ก็เข้าใจทันที จึงนิมนต์ขรัวโตขึ้นบนหอนั่ง แล้วกล่าวว่า
“โยมไม่สู้มืดดอกเจ้าคุณ โยมนี้มีใจแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา แน่นอนมั่นคงเสมอ อนึ่งโยมทะนุบำรุงแผ่นดินโดยเที่ยง และตั้งใจประคับประคองสนองพระเดชพระคุณโดยตรงโดยสุจริตเป็นที่ตั้งตรงอยู่เป็นนิตย์ ขอเจ้าคุณอย่าปริวิตกให้ยิ่งกว่าเหตุ นิมนต์กลับได้”
ความยากลำบากเมื่อตอนต้นแผ่นดินรัชกาลที่ห้า และการที่ทรงถูกคุกคามปราศจากพระราชอำนาจ ทำให้รัชกาลที่ห้า พระราชทานจดหมายทรงสอน สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์แรกของไทย เมื่อคราวนี้สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรสมีพระชนมายุเท่ากับพระองค์ในคราที่ขึ้นเสวยราชสมบัติความว่า
“ส่วนตัวพ่อเองยังเป็นเด็กอายุเพียงเท่านี้ ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอันใดที่จะทำตามหน้าที่ แม้แต่เพียงที่ทูลกระหม่อมทรงประพฤติมาแล้วได้ ยังซ้ำเจ็บเกือบจะถึงแก่ความตาย อันไม่มีผู้ใดสักคนเดียวซึ่งเชื่อว่าจะรอด ยังซ้ำถูกอันตรายอันใหญ่คือทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตในเวลานั้น เปรียบเหมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว จับเอาแต่ร่างกายขึ้นตั้งไว้ในที่สมมติกษัตริย์ เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์อันต้องเป็นกำพร้าในอายุเพียงเท่านั้น และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คอจะทานไว้ได้ ทั้งมีศัตรูซึ่งมุ่งหมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้างทั้งภายในภายนอก หมายเอาทั้งในกรุงเองและต่างประเทศ ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสนสาหัส”
อย่างไรก็ตาม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และขุนนางตระกูลบุนนาค แม้จะเรืองอำนาจมาก จนเลยเถิดเข้าไปถึงขั้นคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับจงรักภักดีไม่กระทำการใดๆ ที่แม้แต่จะคิดเป็นกบฏหรือแย่งราชบัลลังก์ ซึ่งหากคิดจะทำก็ย่อมทำได้ แต่ท่านไม่ทำ ทำให้พระพุทธเจ้าหลวงทรงตระหนักในข้อนี้และในภายหลังได้ทรงยกย่อง บำรุงวงศ์ตระกูลของขุนนางสายสกุลบุนนาคบางสายที่ตกต่ำหรือไม่มีลูกหลานรับช่วงสืบต่อให้เจริญสืบไป สมดังคาถาภาษิตบนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ที่ว่า "เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ"
ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยเฉพาะคณะราษฎร ที่ล้มล้างและเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินในปี 2475 มีการออกแถลงการณ์ให้ร้ายประณามสถาบันพระมหา กษัตริย์ มีการจับกุมตัวเจ้านายชั้นสูง อาทิเช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนคร สวรรค์วรพินิต เป็นตัวประกัน
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงถามนายประยูร ภมรมนตรีที่มาจับกุมตัวพระองค์แล้วทรงกล่าวว่า
"เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา ๑๕๐ ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"
"ถึงแม้จะทำสำเร็จ ก็ระวัง เถอะ วันหนึ่งจะฆ่ากันเองตายเหมือนประเทศฝรั่งเศส สุดท้ายก็เอา กิโยตินมาตัดคอกันเอง ระวังนะ คิดตรงนี้รอบคอบหรือยัง"
การบีบบังคับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นประทับที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน สะท้อนได้จากพระราชดำรัสในพระองค์ว่า
"...ปืนกระบอกนี้มีกระสุนเพียงสองลูก ลูกหนึ่งสำหรับหัวหญิง (สมเด็จพระบรมราชินี) แล้วเป็นของฉันเองอีกลูกหนึ่ง เพราะถ้าจะบังคับให้ฉันเซ็นอะไรที่เป็นการหลอกลวงราษฎรของฉันแล้ว เป็นยิงตัวตาย...” (มาจากสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น โดย หม่อมเจ้าหญิง พูนพิศมัย ดิศกุล)
หลังจากนั้นก็มีการยึดวังและที่ดินของส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นจำนวนมาก เช่น ยึดวังบางขุนพรม ขุนนิรันดรชัย หนึ่งในคณะราษฎร ได้ซื้อที่ดินแปลงงามของส่วนพระมหากษัตริย์ไปในราคาถูกแสนถูก จนทำให้ทายาทในตระกูลนิรันดร มีที่ดินและทรัพย์สินในกรุงเทพมหานครรวมมูลค่าหลายหมื่นล้าน และมีคณะราษฎรอีกหลายคนได้ยึดที่ดินในส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง โดยในขณะนั้นอ้างว่าจะปฏิรูปที่ดิน
ความขัดแย้งกับคณะราษฎรและรัฐบาลกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 มีมาอย่างต่อเนื่อง รุนแรง ทรงถูกคุกคามและลิดรอนพระราชอำนาจอย่างหนัก จนทำให้ท้ายที่สุดทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติ
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของ ข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดย สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร...
...บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียง ในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัดนี้ เป็นอันหมดหนทาง ที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติ และออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่บัดนี้เป็นต้นไป
ในสมัยรัชกาลที่ 8 และต้นรัชกาลที่ 9 มีการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์อย่างต่อเนื่อง หนักหน่วง จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี มีความประสงค์จะสร้างลัทธิเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย มีการกำจัดศัตรูทางการเมืองด้วยการจับกุม
การจับกุมที่สำคัญสุดคือการจับกุม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร รวมอยู่ด้วย โดยเชิญเสด็จพระองค์จากลำปางเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ทั้งที่ทรงเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ทรงเป็นพระปิตุลาในรัชกาลที่ 8 ทรงเป็นพระราชโอรสบุญธรรมในสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิการเจ้า และไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเมื่อทรงทราบข่าวกรมขุนชัยนาททรงถูกจับกุมเข้าคุก จากหม่อมอลิซาเบทในกรมขุนชัยนาทนเรนทรด้วยความโทมนัสยิ่ง มีพระราชเสาวนีย์ว่า
" ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงท่านได้อย่างไร ท่านอุ้มมาพระราชทานฉันกับพระหัตถ์เองทีเดียว เมื่อ ๑๒ วัน แท้ๆ "
"ทำไมรังแกฉันอย่างนี้ มันจะเอาชีวิตฉัน มาทำลูกชายฉัน เห็นได้เทียวว่า รังแกฉัน"
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชเสาวนีย์ให้เจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน ๑ ใน ๒ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาเข้าเฝ้าฯ
"เธอกับฉันก็เห็นกันมาตั้งแต่ไหนๆ ครั้งนี้ทุกข์ของฉันเป็นที่สุด ขอให้เธอช่วยไปบอกจอมพลทีว่า อย่าจับกรมชัยนาทฯ เข้าห้องขัง มีผิดอะไรส่งมาให้ฉัน ฉันจะขังไว้เอง ให้มาอยู่ที่บ้านนี้ ข้างห้องฉันนี่ เพราะฉันเลี้ยงของฉันมาตั้งแต่ ๑๒ วัน พระพุทธเจ้าหลวงอุ้มมาพระราชทานเอง ถ้ากรมชัยนาทหนีหาย ฉันขอประกันด้วยทรัพย์สินที่ฉันมีอยู่ ถ้าหนีหาย ฉันก็จะยอมเป็นขอทาน"
"เขาจะแกล้งฉันให้ตาย ฉันไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ลูกตายไม่ได้น้อยใจ ช้ำใจ เหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาโลก ครั้งนี้ทุกข์สุดที่จะทุกข์แล้ว"
"เธอจะไปทำอย่างไร ก็ขอให้ช่วยด้วย เห็นแก่ฉันเถอะ ฉันไม่พูดหรอกกับพระองค์อาทิตย์* เพราะเธอเป็นเด็กและเป็นญาติฉันด้วย"
การคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ใหญ่หลวงที่สุดคือการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
การคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ดำรงอยู่มาจนถึงต้นรัชกาลที่ 9 จอมพลแปลก พิบูลสงครามและกองทัพยังมีท่าทีไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่สุดท้ายจอมพลแปลก พิบูลสงคราม และคณะราษฎรทั้งหลายก็กลับทะเลาะและฆ่ากันเอง ดังพระดำรัสของกรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ว่ากันว่าจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ถึงกับเอ่ยคำว่า ไอ้เดชหนี ไอ้ศรีตาย ซึ่งหมายความถึง พระองค์เจ้าบวรเดช ผู้ก่อการกบฏที่ต้องหนีไปต่างแดน และพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ผู้เป็นตาของประธานองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งถูกยิงตายที่จังหวัดสระบุรี
การสถาปนาพระราชอำนาจในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในช่วงต้นรัชกาลผ่านการทรงงานในชนบทท้องถิ่นธุรกันดารที่หน่วยราชการไม่สนใจ นับหลายพันโครงการพระราชดำริ ทำให้ทรงเปี่ยมด้วยพระบารมี เป็นที่ศรัทธาของประชาชน
รัฐประหารโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อโค่นล้มจอมพล ป พิบูลสงคราม ทำให้เกิดความมั่นคงของพระราชอำนาจ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีเป็นราชพลีถวาย ทำให้กองทัพเป็นของทัพของพระราชาดังเดิม ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังนานาประเทศเป็นครั้งแรกของรัชสมัย เพื่อทรงเจริญพระราชไมตรี ส่งผลดีนานัปการสำหรับประเทศไทย
อย่างไรก็ตามภัยสงครามเย็นและขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ทำให้มีความพยายามคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งสงครามเย็นจบลง ก็กลับมากกระบวนการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงเช่นกัน ภายหลังอำนาจทางการเมืองของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้หดหายลดทอนลงไป มีการจัดตั้งกระบวนการล้มเจ้าอย่างเปิดเผยและโจ่งแจ้ง
กระบวนการนี้ต่อเนื่องและสืบทอดมาจนกระทั่งมีการตั้งพรรคอนาคตใหม่ และเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ยิ่งทำให้ขบวนการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยในขณะนี้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความรุนแรง ก้าวร้าว จ้วงจาบหยาบช้ามากยิ่งขึ้น
สถาบันพระมหากษัตริย์ มีความจำเป็นต่อการดำรงอยู่และสวัสดิภาพของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยถูกคุกคามรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มีประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมานั้น เป็นสิ่งที่น่ากังวลใจยิ่ง ความพยายามล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อล้มล้างและเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของไทยให้กลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ หากยังปล่อยให้เกิดการปลุกระดมผ่านสื่อสังคม ใส่ร้ายป้ายสี จ้วงจาบหยาบช้ากันอย่างต่อเนื่องรุนแรงขนาดนี้ อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ได้ในที่สุด