ไม่รู้เพราะประเด็นความเคลื่อนไหวที่ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ของคณะราษฎร 2563 ที่เห็นอีกครั้งว่าไม่ได้เปรี้ยงปร้างสมราคาคุยในเชิงปริมาณ แม้วันก่อนหน้าไผ่ ดาวดินจะพลีร่างออกมายั่วยุในวันสำคัญของคนไทยให้ตำรวจจับกุมเพื่อเรียกม็อบก็ตาม
และแม้ม็อบจะประชิดทำเนียบรัฐบาลและมีคนแห่มาสมทบมากขึ้นในตอนค่ำ แต่คนที่มีประสบการณ์กับการชุมนุมก็จะรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสั่นคลอนรัฐบาลได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยล้อมทำเนียบเป็นเวลานาน แม้เข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลก็ไม่อาจจะทำอะไรรัฐบาลได้เลย ซ้ำร้ายยังถูกยิงเอ็ม 79 ถล่มเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลด้วยซ้ำไป กระทั่งต้องหนีตายไปหาที่ปลอดภัยชุมนุมบนถนนหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ
และสุดท้ายแกนนำก็ต้องประกาศยุติการชุมนุมในช่วงดึกเพราะมวลชนหร่อยหรอ ก่อนที่ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุมพร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง และรวบตัวในที่สุด
ประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงอำนาจล้มกระดานทางการเมืองนั้น มันอยู่ที่ประชาชนจะมีเอกภาพหรือไม่ พร้อมใจกันลุกขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสันติหรือไม่ แต่ในสภาวะที่ประชาชนมีความแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายแบบนี้การปฏิวัติโดยประชาชนย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
อีกทางคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจด้วยปลายกระบอกปืนซึ่งฝ่ายที่จะทำได้ก็คือกองทัพ แม้รัฐประหาร 2475 ของปรีดีที่ม็อบเชิดชูนั้นก็ต้องใช้กำลังทหารเข้ามาเปลี่ยนแปลง และโชคดีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดจึงไม่เอากำลังทหารเข้ามาต่อสู้กัน แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่า กองทัพกับรัฐบาลนั้นมีความเหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียว
แต่ส่วนตัวผมก็ไม่อยากให้รัฐบาลนิ่งนอนใจ ไม่สนข้อเรียกร้องในทุกข้อของผู้ชุมนุม เพราะผมคิดว่าอย่างน้อยข้อเรียกร้องเรื่องให้แก้รัฐธรรมนูญหรือตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับไปสู่การเลือกตั้งนั้น ผมยังคิดว่ามีความจำเป็นและเป็นช่องทางที่จะทำให้การเมืองไทยกลับไปสู้กันในระบบ
วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยอมรับว่า ตัวเองได้กลายเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งเสียเอง ถ้าถามว่าเพราะอะไร คำตอบก็คือ เพราะ 5 ปีที่มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แม้จะอ้างความจำเป็นเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แก้ไขวิกฤตของปัญหา นอกจากความพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองสามารถสืบทอดอำนาจต่อไปเท่านั้นเอง
และบริหารประเทศแบบกลุ่มก๊วนและสร้างผลประโยชน์ให้แก่คนไม่กี่กลุ่มเอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนกันในระหว่างอำนาจกับกลุ่มทุนที่เกื้อหนุนรัฐบาล แต่โชคดีที่ประชาชนอีกฝั่งเขาเกลียดชังกับนักการเมืองที่เข้ามาใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลจนเขาต้องออกมาขับไล่จนกลายเป็นลมใต้ปีกของพล.อ.ประยุทธ์ไปโดยปริยาย
คนจำนวนมากแม้จะเบื่อหน่ายกับรัฐบาลประยุทธ์ก็ต้องยอมทนเพราะไม่อยากเตะหมูเข้าปากอีกฝั่งทางการเมือง เพราะเขารู้ว่าเบื้องหลังของม็อบก็คืออีกกลุ่มที่ต้องการอำนาจทางการเมืองนั่นเอง และไม่อาจเป็นเครื่องมือของม็อบที่ก้าวร้าวหยาบคายและก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่รัฐบาลนี้ไม่อาจอ้างได้เลยว่ามีความชอบธรรมเพราะมีที่มาจากรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ เพราะต้องยอมรับว่า เนื้อหาและกติกาที่ไม่เป็นธรรมนั้น ไม่อาจอ้างเอาความชอบธรรมได้ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ คสช.ตั้ง ส.ว.มากับมือ แล้ว ส.ว. 250 คนนั้นก็มายกมือให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี เท่ากับคนคนเดียวเลือกผู้แทนได้ 250 คน ในขณะที่นักการเมืองนั้นต้องต่อสู้แย่งชิงกันเข้ามาด้วยอำนาจของประชาชนแบบ 1 คน 1 เสียง และคนหลายหมื่นคนจึงจะเลือกผู้แทนได้ 1 คน
ดังนั้นเลือกความสงบไม่ได้จบที่พล.อ.ประยุทธ์ แต่ความสงบที่สังคมเรียกหาจบไปจากความคาดหวังของคนไทยที่ต่อสู้กับวิกฤตการณ์ทางการเมืองมากกว่าสิบปี เพราะความต้องการรักษาอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์คนเดียว
ซ้ำร้ายในระหว่างที่มีอำนาจแบบไม่มีพรรคฝ่ายค้านแบบมีมาตรา 44 ที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังเห็นถึงศักยภาพอันจำกัดจากความสามารถของพล.อ.ประยุทธ์ แม้ช่วงแรกจะมีมืออาชีพที่เป็นเทคโนแครตช่วยทำงานอยู่บ้างก็ยังทำได้ไม่เต็มที่เพราะติดขัดที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์เอง วันนี้เทคโนแครตสูญหายไปเกือบหมดแล้ว และพล.อ.ประยุทธ์หาญกล้าที่จะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเสียเอง
สถานการณ์ของโลกและสถานการณ์เศรษฐกิจทุกวันนี้นั้นต้องการมืออาชีพ ต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและปลอดจากความขัดแย้งทางการเมือง จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องคลี่คลายวิกฤตความขัดแย้งและลบเงื่อนไขความขัดแย้งให้หมดไปจากสังคมไทยโดยเร็ว
ผมว่าวันนี้ภาระหนักไม่ได้อยู่ที่ม็อบที่ออกมาชุมนุมไล่รัฐบาล แต่อยู่ที่คนที่เป็นแรงหนุนให้รัฐบาลชุดนี้ว่า จะทำอย่างไรให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือของอีกฝั่งการเมืองที่เราชิงชัง เรากลัวอีกฝั่งการเมืองแต่เราก็ต้องนึกถึงผลโดยรวมของประเทศจากความไร้สมรรถภาพในการนำพาของรัฐบาลชุดนี้ด้วย
ทำอย่างไรให้ประโยชน์จากการใช้อำนาจทางการเมืองนั้น ตกถึงมือประชาชนโดยเท่าเทียมกันตกถึงประเทศชาติในสภาวะที่ความเดือดร้อนคุกคามเราอยู่ทุกวี่ทุกวัน ทำอย่างไรเราจะกระตุ้นให้รัฐบาลที่เราสนับสนุนนั้นออกจากกลุ่มก๊วนการเมือง และธุรกิจแวดล้อมแล้วเอาประโยชน์นั้นให้ตกมาถึงมือประชาชนที่แท้จริง
ทำอย่างไรไม่ให้อำนาจทางการเมืองกลายเป็นการตอบแทนผลประโยชน์ของพี่น้องที่เกื้อกูลกันมาอย่างไม่จบสิ้น
ผมคิดว่า ถ้าเราทำกติกาให้เป็นธรรมกลับไปสู่การเลือกตั้งกันใหม่ ถ้ารัฐบาลนี้ยังเป็นความหวังของประชาชนก็ไม่ต้องกลัวว่า จะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง หรือถ้าจะพ่ายแพ้แต่ถ้าทำให้บ้านเมืองกลับไปอยู่ในระบบก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะไม่ต้องกลัวหรอกว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาแล้วฉ้อฉลอีก เพราะประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจมีความชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลที่ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมเสมอ
วันนี้แม้ผู้ชุมนุมไม่อาจแผ้วพานรัฐบาลได้ แต่รัฐบาลต้องตระหนักว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่แบ่งประชาชนออกเป็นสองฝ่ายนั้น แม้จะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์จากการแบ่งแยกแล้วปกครอง แต่มันไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติโดยรวม
รัฐบาลอย่าย่ามใจไปเลยว่า ยังมีประชาชนให้การสนับสนุน ยังมีกองทัพที่เกื้อหนุน เพราะการปกครองภายใต้ความแตกแยกนั้น มีแต่จะฉุดรั้งให้ประเทศจมอยู่กับมิคสัญญีที่ไม่อาจโงหัวมาพบกับเสถียรภาพทางการเมืองที่จะทำให้รัฐบาลได้ใช้ความคิดและสมรรถภาพที่มีอยู่จำกัดและโจทย์ที่ยากอยู่แล้วมาสร้างสรรค์ชาติบ้านเมืองเพื่อผ่านพ้นวิกฤตได้เลย
และถ้าเราขัดแย้งกันจนทหารอ้างเป็นเงื่อนไขเข้ามายึดอำนาจได้อีก ก็ใช่ว่าผลของมันจะจบลงได้ง่ายแบบการรัฐประหารทุกครั้งไป
ผมคิดว่าบ้านเมืองยังจะพอมีทางออก แม้จะเหลือทางไม่มากที่จะให้รัฐบาลประยุทธ์เลือกเดิน รัฐบาลต้องทำให้การเมืองกลับเข้าไปอยู่ในสภาฯ โดยการมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
หวังว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่ทำให้แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่ยังพอมองเห็นดับวูบไปเพียงเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan