ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่มีมูล หมามันไม่ขี้
จู่ๆ ก็มีข่าว “ฝ่ายกุมอำนาจ” เริ่มขยับหมากทางการเมืองอีกระลอก โดย “2 ป.” สั่งตั้ง “พรรคสำรอง” โดยมอบหมายให้ “ปลัด ฉ.” รับหน้าเสื่อเดินเกม
สำหรับ “2 ป.” ที่ถูกกล่าวถึงตามข่าวตีความได้ว่าเป็น “พี่รอง - น้องเล็ก” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่เริ่มขยับหาลู่ทาง ด้วยประเมินแล้วว่า ยังต้องบู๊ในสนามการเมืองอีกยาว
และคล้ายกลับโดดเดี่ยว “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อมีกระแสข่าวลือ ก็เป็นหน้าที่ของ “คนในข่าว” ที่ต้องตอบคำถาม โดย “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.กระทรวงมหาดไทย เลี่ยงตอบเพียงว่า “ผมไม่สันทัดการเมือง ไม่มี และไม่มีในความคิด ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องต้องไปถามคนให้ข่าว”
ส่วน “ป.ที่ 2” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พอนักข่าวถามเรื่องนี้ ก็ทำเสียงเข้มว่า “ป.ไหนล่ะ” ก่อนกล่าว "สวัสดี" ตัดบทแล้วเดินออกไป
แต่ระหว่างเดินออกจากโพเดียมนายกฯ บ่นพรึมว่า “แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว”
ขณะที่ “ปลัด ฉ.” ไม่ยากเกินคาดเดา เป็น “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้มีทั้งชื่อเล่น-ชื่อจริงตัวย่อ “ฉ.” เหมือนกันจึงไม่พ้นถูกทิ่มไมค์สอบถามถึงกระแสข่าวที่ว่า “ปลัดฉิ่ง” ตอบทันทีว่า “ตอนนี้ยังเป็นข้าราชการ (เกษียณปี 2564) อยู่ ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรแบบนั้นได้ และไม่เคยมีใครมาพูด มาชักชวนแต่อย่างใด หน้าที่ของผมตอนนี้คือ การช่วยเหลือประชาชน การดูแลประชาชนในขอบข่ายงานของกระทรวงมหาดไทย ไม่มีทำเกินหน้าที่ นอกจากนี้ ผมรับราชการมา 36 ปี รู้ดีว่าการเป็นข้าราชการควรจะทำอะไร การครองตน ครองคน ครองงาน รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้นกับพรรคการเมือง ตอนนี้มีแต่คำสั่งให้ดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน ผมเป็นข้าราชการอาชีพ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร ตั้งแต่เป็นปลัดอำเภอกระทั่งมาเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ผมจะทำวันนี้ในหน้าที่ให้ดีที่สุด”
พลิ้วหลบไปแบบสบายๆ โดยใช้หมวก “ข้าราชการ” ปฏิเสธไป
ขณะเดียวกัน “บิ๊กป้อม-ประวิตร” ก็ใช้ชั้นเชิงถามกลับว่า “2 ป.” คือใคร ให้ไปถาม “2 ป.” เอาเอง
“เรามีพรรคอยู่แล้วจะไปตั้งพรรคใหม่ทำไม คุณคิดไปเอง ไม่มีอะไร”
ซึ่งก็ต้องย้อนถามกลับการมี “ค่ายพลังประชารัฐ” เพียงพรรคเดียว เพียงพอหรือไม่กลับสถานการณ์การเมืองที่กำลังเป็นไป หากใช้กติกาปัจจุบันอยู่ ยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน” ก็ยังมีความสลักสำคัญ
ดังที่เห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลที่มีถึงกว่า 20 พรรค และมีพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ถึงกว่า 30 พรรค สะท้อนให้เห็นว่า คะแนนกระจายจัดขนาดไหน
หรือหากกติกาเลือกตั้งมีการปรับเปลี่ยน แม้จะยังไม่นิ่ง แต่ก็มีแนวโน้มจะปัดฝุ่น “บัตร 2 ใบ” มาใช้อีกครั้ง ทว่า “สูตรคำนวณ” แตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 พอสมควร
ดังนั้นการมี “พรรคสำรอง” หรือ “พรรคสาขา” จึงยังอาจจะมีความจำเป็นอยู่ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้ง หรือยังยืนหยัดใช้กติกาเดิม
ประกอบกับปัญหาใน “พลังประชารัฐ” ที่เห็นและเป็นไป ก็ถูก “นักการเมืองอาชีพ” ที่ต่อรอง-ก่อหวอดกดดันมาโดยตลอด จน “ขุนทหาร” ออกอาการฉุนเฉียวให้เห็นหลายครั้ง อย่างที่ “นายกฯ ตู่” บ่นว่า “แค่พรรคเดียวก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”
รวมไปถึงสไตล์การบริหารพรรคของ “ลุงป้อม” ก็เป็นไปในแนว “ผู้ใหญ่ใจดี” มักตามใจ “สายเชลียร์” ที่มาคอยเจ๊าะแจ๊ะเอาใจซะมาก
จนเจอประเภท“กระสันอำนาจ” แต่ก็ “เลือกงาน” เห็นๆ ที่ “กระทรวงแรงงาน” ที่มีรัฐมนตรี 2 คนมาจากพรรคพลังประชารัฐทั้งคู่ ทั้ง “จับกัง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กับ “ฉันทนา” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
ดังนั้นการมีพรรคสำรองเพื่อลดอำนาจต่อรองนักการเมืองอาชีพ จึงเป็นข้อเสนอที่ “ฝ่าย เสธ.” ชงไอเดียขึ้นมา
มีข่าวถึงขั้นว่ามี "บุคคลนิรนาม” ติดต่อขอเช่า “อาคารปานศรี” ที่ทำการเก่าของพรรคพลังประชารัฐ ย่าน ถ.รัชดาภิเษก เพื่อเตรียมเป็นที่ตั้งทำการพรรคใหม่ไว้แล้ว
นอกจากนี้ “พลังประชารัฐสาขา 2” แห่งนี้ ยังเตรียมไว้เปิดหลุมไว้รอ “งูเห่า” สารพัดสี ไม่ว่าจะ “สีแดง-สีส้ม” หรือแม้แต่ในพรรคร่วมรัฐบาล ที่อาจจะมาต่อปลั๊กตรงกับ “ผู้กุมอำนาจ”
ด้วยรู้กันดีว่า หากมีปี่กลองเลือกตั้ง จะมี “เทศกาลดูด ภาค 2” กวาดต้อน ส.ส.-ผู้สมัคร เข้ามาอีกระลอก ซึ่งบางคนอาจรู้สึกตะขิดตะขวงใจ หรือเกรงว่าจะเดินในพื้นที่ไม่สะดวก หาก “พลิกขั้ว” ไปอยู่กับ “ค่ายพลังประชารัฐ” ด้วยยังมีหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่รู้รับไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงลือดังๆ “รัฐบาลแห่งชาติ” หรือการรวมขั้วกันของ “พลังประชารัฐ-เพื่อไทย” หากมี “พรรคทางเลือก” เกิดขึ้น ก็น่าจะจะเป็นการถนอมน้ำใจกองเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย ที่อาจถึงขั้นช็อกหาก “ผสมพันธุ์” กันจริง
และหากถึงวันนั้น หากปั้นพรรคขึ้น “ระดับท๊อป” มี ส.ส.ซัก 40-50 ชีวิต ก็เท่ากับเป็นการลดอำนาจต่อรอง “พรรคร่วมรัฐบาล” ไปในตัว
จะไม่มีภาพอย่าง “ประชาธิปัตย์ - ภูมิใจไทย” มาต่อรองบีบ “ขุนทหาร” จนหน้าเขียว แล้วคว้า “กระทรวงเกรดเอ” ไปรับประทาน เฉกเช่นวันนี้อีก
แต่ครั้นที่จะบอกว่าการตั้งพรรคสำรองไปเสี้ยมว่า “พี่น้องแตกคอ” นั้นบอกเลยว่า “ยาก” ด้วยความสัมพันธ์แบบแนบแน่นของ “พี่น้อง 3 ป.” พิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่าเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันเล่นเท่านั้น
“พรรคสำรอง” ที่ว่าก็เป็น “2 ป.” ที่สลับหน้ามาเล่นเท่านั้น
และแม้ “คนในข่าว” จะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธ แต่หากจำกันได้ ช่วงที่ก่อตั้ง “พรรคพลังประชารัฐ” บรรดา “คนในข่าว” ก็ปฏิเสธกันหน้าสลอนแบบนี้แหละ พอเปิดตัวอย่างเป็นทางการมากันพร้อมหน้า ไม่มีใครยอมตกรถซักคน
อย่าลืมอีกว่า การเมืองอีกฟากฝั่งที่ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เริ่มมีความเคลื่อนไหว “ไม่ปกติ” เกิดขึ้น กับการมีชื่อ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเข้ามากุมบังเหียน พร้อมกับการลดบทบาทลงของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
ท่ามกลางกระแสข่าว “รัฐบาลปรองดอง”หรือ “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ถูกนำกลับมารีรันอีกครั้ง
ลืมไม่ได้อีกเช่นกันว่าความสัมพันธ์ของ “พรรคข้างบ้าน” ที่ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ก็ไม่ได้หวานชื่น ออกแนว “ขบเหลี่ยม” กันเองมาโดยตลอด ยิ่งมีสนามเลือกตั้งท้องถิ่นให้เปิดหน้าชนกันเอง ความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่น อาจจะขาดสะบั้นในพริบตา
แล้วยิ่งหากพรรคใหม่ที่ว่านี้ชื่อ “รวมไทย สร้างชาติ” ที่บังเอิญไปตรงกับมอตโต้คุ้นปากของ “นายกฯ ตู่” แล้วละก็
จะบอกว่าเป็นพรรคใหม่เปิดหลุมรอ “รัฐบาลแห่งชาติ” ก็อาจไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ.