ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ออกรายงานแสดงโรคมะเร็งรายใหม่ที่พบมาก 10 อันดับแรกทั้งเพศชายและหญิง พบว่า ในปี 2561 โรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักในเพศชายมากที่สุดเป็น “อันดับที่หนึ่ง” คือประมาณ 245 คน (คิดเป็น 19.7% ของการตรวจพบมะเร็งในเพศชายทั้งหมด) แซงหน้าโรคมะเร็งตับและทางเดินน้ำดีแล้ว [1]
ในขณะที่เพศหญิงได้พบว่าโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักอยู่ในอันดับที่ 3 คือประมาณ 191 คน (คิดเป็น 11.1% ของการตรวจพบมะเร็งในเพศหญิงทั้งหมด) ตามหลังโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งเต้านมและปากมดลูก [1]
จากสถิติในประเทศไทยจะพบกลุ่มอายุของผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก ช่วงอายุ 50 - 70 ปีมากที่สุด[1] ดังนั้นช่วงอายุนี้ควรจะต้องมีการตรวจคัดกรองเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักให้น้อยลงเพื่อความไม่ประมาท
ยังดีที่โรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก หากตรวจพบได้เร็วในระยะแรกๆนั้น จะมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี สูงมาก แม้แต่ตรวจพบในระยะที่ 3 แล้ว อัตราการรอดชีวิต 5 ปี ก็จะมีมากกว่า 50% ด้วยซ้ำ ก็ยังถือว่าโชคดีกว่ากลุ่มที่มีอัตราการรอดชีวิตต่ำกว่า เช่น มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งกระเพาะอาหาร [1] และนี่คือเหตุผลประการแรกว่าเหตุใดผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักจึงควรมีความหวัง
โดยตามสถิติรายงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติในปี พ.ศ. 2561 พบว่า สำหรับโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักในระยะแรกนั้นจะมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี ของเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
กล่าวคืออัตราการรอดชีวิต 5 ปี ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้และทวารหนักในระยะแรกเพศหญิงเมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาแล้ว จะมีโอกาสเกือบ 100% ในขณะที่เพศชายหากพบในระยะแรกและมีการรักษาจะมีโอกาสรอดชีวิตใน 2 ปีแรกเกือบ 100% หลังจากนั้นในปีที่ 3 จะมีอัตราการรอดชีวิตเหลือประมาณเกือบ 70% [1]
สำหรับระยะที่สอง การรักษาสำหรับผู้ป่วยในระยะนี้มีโอกาสมากถึง 80% ทั้งชายและหญิง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ป่วยมะเร็งลำไส้และทวารหนักในระยะที่สองของเพศชายนี้กลับมีอัตราการรอดชีวิตมากกว่าระยะที่ 1 เสียอีก[1] ซึ่งอาจเป็นเพราะความเข้มข้นในการรักษาที่แตกต่างกัน
สำหรับระยะที่สาม ตามสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติในระยะนี้ หากมีการรักษาก็ยังมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี เกิน 50% แต่อัตราการรอดชีวิต 5 ปี เพศหญิงจะมากกว่าเพศชาย กล่าวคือ ในเพศหญิงอาจมีอัตราการอดชีวิต 5 ปีประมาณ 65% ในขณะที่อัตราการรอดชีวิต 5 ปีในเพศชายอยู่ที่ประมาณ 55% [1]
ส่วนระยะที่สี่ อันหมายถึงมะเร็งระยะลุกลามแพร่กระจายนั้น อัตราการรอดชีวิต 5 ปี ประมาณ 20%-30% โดยอัตราการรอดชีวิตในผู้หญิงมากว่าผู้ชาย [1]
อย่างไรก็ตาม อัตราการรอดชีวิตในโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ดังเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่ามีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี โดยรวมมากกว่าประเทศไทย ยกเว้นมะเร็งลำไส้และทวารหนักในระยะแพร่กระจายลุกลามไปในอวัยวะอื่นแล้ว จะมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี ประมาณเพียงแค่ 16%[2] ซึ่งต่ำกว่าประเทศไทยมาก แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีประชากรหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ที่คนผิวดำมีอัตราการอดชีวิตต่ำกว่าคนกลุ่มอื่นที่คอยถ่วงน้ำหนัก [2]
และเป็นที่ชัดเจนว่าหากผู้ที่ป่วยโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักเป็นผู้สูงวัยซึ่งอายุเกิน 65 ปีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีของโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักในทุกระยะจะต่ำกว่าคนที่อายุน้อยกว่ากว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปอย่างชัดเจน [2]
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนักหากป่วยในระยะที่ 1 หรือ 2 ทำให้ผู้ป่วยในโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักมักมีอาการแล้วจึงมาตรวจสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ คนส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ 63.8% ที่เดินทางมาตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติมักป่วยในระยะที่ 3 หรือ 4 แล้ว กล่าวคือผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนักในระยะที่ 3 ประมาณ 29.6% ในขณะที่ผู้ป่วยรายใหมที่เป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนักในระยะที่ 4 ประมาณ 34.2% นั่นหมายความว่าผู้ป่วยที่มักมาพบแพทย์ในระยะที่ 4 เป็นสัดส่วนมากที่สุด จึงถ่วงน้ำหนักทำให้อัตราการรอดชีวิตโดยรวมต่ำลง
ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์อภิมานของวารสาร Cancer Cause Control เมื่อปี พ.ศ. 2556 พบว่า สำหรับผู้ที่มีประวัติกับภาวะลำไส้อักเสบจะเพิ่มความเสี่ยงมากที่สุดที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ถึง 193% ในขณะที่ผู้ที่มีญาติลำดับแรก (พ่อแม่,พี่น้อง,ลูก)มีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้จะทำให้คนๆนั้นเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ 79% [3]
ดังนั้น ใครที่มีอาการป่วยลำไส้อักเสบ รวมทั้งมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้จึงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคมะเร็งมากที่สุด ทั้งนี้ไม่เพียงความเสี่ยงของคนในครอบครัวที่อาจถ่ายทอดกรรมพันธุ์ในระดับรหัสพันธุกรรมเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงพฤติกรรมการความเสี่ยงการใช้ชีวิตและการบริโภคของคนในครอบครัวมักจะเหมือนกันด้วย
การวิเคราะห์อภิมานของวารสาร Cancer Cause Control เมื่อปี พ.ศ. 2556 รายงานด้วยว่าการบริโภคเนื้อแดง (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว) 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น 13%, ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักดัชนีมวลกายเทียบกับประชากรโดยรวม ทุกๆ 8 กิโลกรัมต่อตารางเมตรที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ 10%, ในขณะที่ผู้ที่สูบบุหรี่ 5 แพคต่อปีจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ประมาณ 6% รวมถึงคนที่ออกกำลังน้อย คนรับประทานผักและผลไม้น้อยก็จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้เช่นกัน [3]
อย่างไรก็ตาม อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งก็คือ “เนื้อแปรรูป” โดยเมื่อปี พ.ศ. 2558 ศูนย์วิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) หน่วยงานภายใต้การบริหารขององค์การอนามัยโลก ได้สรุปเรื่องที่ “ใกล้ตัว”การใช้ชีวิตของคนทั่วไปสำหรับสารก่อมะเร็งว่า “เนื้อแปรรูป”จัดอยู่ในสารก่อมะเร็งลำไส้ในมนุษย์กลุ่ม 1 (หมายถึงมีหลักฐานที่มีผลต่อมนุษย์ที่หนักแน่นเพียงพอ)[4]
โดยคณะทำงานของผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์วิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) พบว่า
“การรับประทานเนื้อแปรรูป 50 กรัมทุกวันจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ประมาณ 18%” ทั้งนี้ความหมายของเนื้อแปรรูปนั้น หมายรวมถึงเนื้อแปรรูปทุกชนิด ไม่ว่าเนื้อแดง (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) หรือ เนื้อขาว (ปลา, ไก่) ถ้ามีการแปรรูปก็ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ทั้งสิ้น ดังนั้นความหมายของเนื้อแปรรูปย่อมหมายถึง เนื้อทุกชนิดที่ผ่านกระบวนการเพื่อถนอมอาหารได้แก่ ไส้กรอก แฮม ลูกชิ้น เบคอน ฯลฯ ซึ่งมักจะเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมของคนทั่วโลกและคนไทย [4]
ถ้านึกไม่ออกว่าเนื้อแปรรูป 50 กรัมต่อวันนั้นคือปริมาณเท่าไหร่ เช่น ไส้กรอกขนาดปกติประมาณ 1 ชิ้นต่อวัน, หรือ แฮมประมาณ 2 แผ่นต่อวัน, หรือเบคอนดิบประมาณ 2 เส้นต่อวัน, หรือลูกชิ้นประมาณ 10 ลูกต่อวัน ถ้ากินแบบนี้ทุกวันอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือยิ่งหลายอย่างผสมรวมกันก็จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้และทวารหนักเพิ่มมากขึ้น
นอกจาก “เนื้อแปรรูป” ที่จัดอยู่ในสารก่อมะเร็งลำไส้และทวารหนักในมนุษย์กลุ่ม 1 แล้ว ศูนย์วิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ยังได้เคยกำหนดสารก่อมะเร็งในมนุษย์กลุ่ม 1 ซึ่งหมายถึง มีหลักฐานที่มีผลต่อมนุษย์ที่หนักแน่นเพียงพอมาก่อนหน้านี้อีก 4 ประการ อันได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การสูบบุหรี่, รังสีเอ็กซ์ และรังสีแกมม่า [5]
ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะป้องกันหรือลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ จำเป็นต้องงดเนื้อแปรรูป งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ งดการสัมผัสรังสีเอ็กซ์และรังสีแกมม่าที่มีความเข้มข้นเกินหรือบ่อยเกินความจำเป็น เช่น การทำ MRI หรือ ซีทีสแกน หลายๆครั้งในสถานพยาบาลต่างที่กันเพื่อถามความเห็นแพทย์หลายๆ คน โดยไม่แจ้งให้แพทย์ทราบ
อย่างไรก็ตาม ยังมีสารที่เป็นไปได้ว่าก่อมะเร็งในระดับที่มีหลักฐานในมนุษย์แต่มีอยู่อย่างจำกัด ได้แก่ “แร่ใยหิน” ซึ่งเป็นแร่ธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วไปในพื้นดิน และสามารถสัมผัสได้ในกิจกรรมบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะดินและมีการฟุ้งในอากาศ เช่น การทำเหมืองทองแดง ตะกั่ว เหล็ก หรือนิกเกิล อีกทั้งใช้เป็นวัตถุดิบหลายชนิดในอุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องซีเมนต์, ผลิตภัณฑ์ฝ้าเพดาน, อุตสาหกรรมผลิตเบรกและคลัทช์ อุตสาหกรรมผลิตท่อน้ำ ฯลฯ [5]
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก ผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาชีพหรือสิ่งแวดล้อมที่สัมผัสกับวัสดุที่มีแร่ใยหินเหล่านี้
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนที่ทำงาน “กะกลางคืน”ซึ่งมีเวลานอนผิดธรรมชาติของนาฬิกาชีวิต คือนอนกลางวัน ทำงานกลางคืนว่าอาจจะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก ทั้งนี้แม้จะมีหลักฐานในมนุษย์อย่างจำกัดจากการวิจัยแบบการสังเกต แต่มีหลักฐานอย่างเพียงพอว่าการเปิดแสงสว่างในเวลากลางคืนเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งหลายชนิดในสัตว์ทดลอง ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม, โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคมะเร็งลำไส้ และโรคมะเร็งทวารหนัก และมีหลักฐานอย่างแข็งแรงว่าพฤติกรรมที่ผิดนาฬิกาชีวิตเช่นนี้ มีผลต่อการกดระบบการทำงานของภูมิคุ้มกันให้ต่ำลง ทำให้เกิดภาวะการอักเสบเรื้อรัง และทำให้เกิดการแพร่ขยายหรือการเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงสามารถอธิบายกลไกการเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักได้ [6]
ดังนั้นผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้หรือป่วยแล้ว จำเป็นต้องงดทำงานกะกลางคืน โดยเฉพาะ อาชีพนักบิน ลูกเรือ แอร์โฮสเตส และอาชีพพิเศษอื่นๆที่ต้องใช้แสงสว่างในเวลากลางคืน เช่น อาชีพพยาบาล แรงงานในโรงงาน [6] หรือพนักงานในร้านสะดวกซื้อ คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำงานด้วยแสงสว่างในเวลาที่ควรนอนทั้งสิ้น
นอกจากนั้น บทเรียนของข้อมูลดังกล่าว ย่อมเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและมนุษยชาติเพื่อลดความเสี่ยงโรคมะเร็งหลายชนิด ก็ควรพยายามนอนให้ได้ในเวลากลางคืนตามนาฬิกาชีวิตที่ควรจะเป็น กล่าวคือนอนให้ได้ประมาณ 4 ทุ่ม และปิดไฟให้สนิทในการนอนเวลากลางคืนด้วย โดยไม่เปิดโทรทัศน์ ปิดแทบเล็ต และปิดไฟในเวลานอนตอนกลางคืน ซึ่งวิธีการให้ความสำคัญต่อการนอนตามนาฬิกาชีวิตนี้ ได้ถูกสอนกันมานานแล้วในวิชาธรรมนามัยของการแพทย์แผนไทยประยุกต์
และบทบาทในส่วนนี้ “กัญชา” จะมีส่วนช่วยในเรื่องการทำให้นอนหลับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยหรือผู้ที่นอนไม่หลับในเวลากลางคืน
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญคือ “การบริโภคเนื้อแดง” เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อแกะ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ซึ่งปัญหาที่ผ่านมาคือการแยกแยะการบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปที่อาจไม่สามารถที่จะแยกเนื้อแดงออกมาเป็นการเฉพาะได้ แม้ที่ผ่านมาคณะทำงานของ ศูนย์วิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ได้พบเพียงการศึกษาประมาณ 10% เท่านั้นที่พบว่าการบริโภคเนื้อแดงอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการศึกษาจำนวนประชากรขนาดใหญ่ 2 รายงานครอบคลุมกรณีศึกษา 4,000 ราย พบความสัมพันธ์ของ “การบริโภคเนื้อแดงที่ปรุงแบบทอดกระทะ” สัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้และทวารหนัก ด้วยเหตุผลนี้ “การบริโภคเนื้อแดง” จึงอาจจะเป็นสารก่อมะเร็งภายใต้หลักฐานในมนุษย์อย่างจำกัด [7]
นอกจากนั้นยังมีพยาธิใบไม้ลำไส้เลือด ซิสโตโซมา จาโปนิคัม Schistosoma japonicum ที่มีหลักฐานในมนุษย์อย่างจำกัดว่า อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก [5] ซึ่งผู้ที่ลดความเสี่ยงก็ควรเน้นอาหารที่ปรุงสุกและหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน
นอกจากนั้นแล้วผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักมากกว่าคนที่ไม่มีภาวะเบาหวานประมาณ 26% ในขณะที่ผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานแล้วบำบัดด้วยการใช้อินซูลินก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักเพิ่มขึ้นถึง 61% [8]
นั่นหมายความว่าแม้แต่คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักได้ หากรับประทานน้ำตาลหรือแป้งขัดขาวมากเกินไปจนเป็นเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม การรับประทานผัก ธัญพืชครบส่วน ผลไม้ กลุ่มผักที่ไฟเบอร์สูงที่ไม่เป็นแป้ง และพืชตระกูลกะหล่ำ กระเทียม จะช่วยลดความเสี่ยโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักได้ [3]
นอกจากนั้นสมุนไพรเดี่ยวที่น่าจับตาและอาจนำมาช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักได้ เช่น สารสกัดจากขมิ้นชัน [9], สารสกัดจากงาดำ [10], พลูคาว [11], สารสกัดจากตรีผลา[12] ฯลฯ
ส่วนตำรับยาที่ออกฤทธิ์ต้านมะเร็ง นอกจากสมุนไพรเดี่ยวดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีตำรับยาไทยที่มีชื่อว่า “ยายอดมะเร็ง” ซึ่งมีการวิจัยพบว่า...
“มีฤทธิ์ฆ่าและฤทธิ์ต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงในหลอดทดลอง รวมถึงฤทธิ์ต้านการกระตุ้นการเจริญของเนื้องอกในสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดสูตรนี้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ เซลล์มะเร็งเต้านม (MDA-MB-231, MCF 7) เซลล์มะเร็งไขข้อ (SW982) เซลล์มะเร็งตับ (HepG2) เซลล์มะเร็งปากมดลูก(HeLa) และเซลล์มะเร็งปอด โดยสารสกัดสูตรนี้มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งไขข้อ SW982 ได้ดีที่สุด ส่วนฤทธิ์ต้านการกระตุ้นการเจริญของเนื้องอกบนผิวหนัง เนื้องอกในลำไส้ และมะเร็งตับระยะส่งเสริมในหนูถีบจักร ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดตำรับยาต้านมะเร็งสูตรนี้สามารถยับยั้งการเกิดเนื้องอกจากการเหนี่ยวนำด้วยสารเคมีได้” [13]
สำหรับตำรับยายอดมะเร็งนี้มีสมุนไพรประกอบไปด้วย หัวร้อยรู, ไม้สักหิน, ข้าวเย็นเหนือ-ใต้, โกฐจุฬา-โกฐเชียง, กำแพงเจ็ดชั้น, ทองพันชั่ง, เหงือกปลาหมอ, ผีหมอบ, หญ้าหนวดแมว [14]
สำหรับอีกตำรับยาหนึ่งที่น่าสนใจชื่อ “ยาเบญจอำมฤตย์” ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธาตุบรรจบ ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เป็นยาถ่ายช่วยชำระลำไส้ให้สะอาด ความว่า:
“ยาเบญจอำมฤตย์ เอามหาหิงคุ์ ยาดำบริสุทธิ์ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รงทอง ๒ สลึง ลูกมะกรูด ๓ ลูก เอามหาหิงคุ์ รงทอง ยาดำ ใส่ในลูกมะกรูดสิ่งละ ๑ ลูก แล้วเอาขี้โคพอก สุมไฟแกลบให้สุก เอาขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย สิ่งละ ๑ สลึกง รากทนดี ๑ บาท ดีเกลือง ๔ บาท เอาประสะกับมะกรูดที่สุมไฟไว้ บดเปนผงละลายน้ำมะขามเปียกกิน หนักครั้งละ ๑ สลึง ฟอกอุจจาระอันลามกให้สิ้นโทษ ชำระลำไส้ซึ่งเป็นเมือกมัน และปะระเมหะทั้งปวง” [15]
สำหรับยาเบญจอำมฤตย์นี้ ได้มีการวิจัยพบการทดลองในรูปของสารสกัดแล้วพบว่าอาจจะช่วยยับยั้งมะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ได้[16] ซึ่งจะต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป
สรุปหลักปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ก็คือ กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง กินผักไฟเบอร์และผลไม้ให้มากขึ้น ลดขนมหวานและแป้งขัดขาว ออกกำลังกายเป็นประจำ และนอนหลับเวลากลางคืนพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้และทวารหนักได้แล้ว ส่วนเมื่อมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะโรคนี้ยังมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปี มากกว่าโรคมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งยังมีงานวิจัยในเรื่องอาหาร สมุนไพรที่ก้าวหน้าไปมากกว่าเดิมแล้ว
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
อ้างอิง:
[1] สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ. 2561, ISBN: 978-616-11-4109-7
http://www.nci.go.th/th/File_download/Nci%20Cancer%20Registry/Hospital%20Based_2018.pdf
[2] American Cancer Society, Colorectal Cancer Facts and Figures, 2020-2022
https://www.cancer.org/content/dam/cancer-org/research/cancer-facts-and-statistics/colorectal-cancer-facts-and-figures/colorectal-cancer-facts-and-figures-2020-2022.pdf
[3] Johnson CM, Wei C, Ensor JE, et al. Meta-analyses of colorectal cancer risk factors. Cancer Cause Control. 2013;24(6):1207–1222.
[4] IARC, IARC Monographs evaluate consumption of red meat and processed meat, PRESS RELEASE N° 240, 26 October 2015.
https://www.iarc.fr/wp-content/uploads/2018/07/pr240_E.pdf
[5] IARC, List of Classifications by cancer sites with sufficient or limited evidence in humans, Volumes 1 to 127, 2019.
https://monographs.iarc.fr/wp-content/uploads/2019/07/Classifications_by_cancer_site_127.pdf
[6] IARC, IARC Monographs Meeting 124: Night Shift Work (4–11 June 2019) Questions and Answers, 5 July 2019.
https://www.iarc.fr/wp-content/uploads/2019/07/QA_Monographs_Volume124.pdf
[7] IARC, Red Meat and Processed Meatvolume 114, iarc monographs on the evaluation of carcinogenic risks to humans, March 2018
https://monographs.iarc.fr/wp-content/uploads/2018/06/mono114.pdf
[8] Deng L, Gui Z, Zhao L, Wang J, Shen L. Diabetes mellitus and the incidence of colorectal cancer: an updated systematic review and meta-analysis. Dig Dis Sci. 2012;57(6):1576–1585.
https://link.springer.com/article/10.1007/s10620-012-2055-1
[9] Maria Pricci, et al, Curcumin and Colorectal Cancer:From Basic to Clinical Evidences, Int J Mol Sci. 2020 Apr; 21(7): 2364.
[10] Ming-Shun Wu, et al., Anti-flammatory and Anticancer Properties of Bioactive Compounds from Sesamum indicum L-A Review. Molecules. 2019 Dec; 24(24): 4426.
Published online 2019 Dec 4. doi: 10.3390/molecules24244426
[11] Kuang-Chi Lai, et al., Houttuynia cordata Thunb extract inhibits cell growth and induces apoptosis in human primanry colorectal cancer cells.,Anticancer Res 2010 Sep;30(9):3549-56.
[12] Ramakrishna Vadde, et al., Triphala Extract Suppresses Proliferation and induces Apoptosis in Human Colon Cancer Stem Cells via Suppressing c-Myc/Cyclin D1 and Elevation of Bax/Bcl-2 Ratio., Biomed Res Int. 2015; 2015: 649263.
Published online 2015 Jun 17. doi: 10.1155/2015/649263
[13] รศ.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์, การวิจัยและพัฒนาตำรับยาต้านมะเร็งสูตรวัดคำประมง, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กุมภาพันธ์ 2556
[14] พฤฒาจารย์วิพุธโยคะ รัตนรังษี, สุวัตร์ ตั้งจิตรเจริญ, ปริญญา อุทิศชลานนท์, เพชนน้ำเอก กรุยอดตำรับยาสมุนไพร, 2554, ISBN: 9786167068718
[15] กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สถาบันภาษาไทย, แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554, จำนวน 3,000 เล่ม, ISBN : 978-974-01-9742-3
[16] Rittibet Yapasert, et al., Anticancer effects of traditional Thai herbal recipe Benja Amarit extracts against human hepatocellular carcinoma and colon cancer cell by targeting oppotosis pathways, J Ethnopharmacol, 2020 May 23;254:112732. doi: 10.1016/j.jep.2020.112732. Epub 2020 Mar 3.