หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ความขัดแย้งของสังคมไทยไม่ใช่เรื่องของประชาชนกับผู้มีอำนาจแบบในอดีต แต่เป็นความขัดแย้งของคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน และนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะไม่สามารถอยู่ร่วมชาติกันได้
นับตั้งแต่คนไทยเสื้อเหลืองในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณที่ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามสีเสื้อ คนเสื้อแดงในนาม นปช.ออกมาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ และคนเสื้อเหลืองภาค 2 ในนามของ กปปส.ออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กระทั่งล่าสุด คนรุ่นใหม่ร่วมกับคนเสื้อแดงออกมาขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ จนกระทั่งทำให้เห็นว่าสิบกว่าปีนี้มานี้ความขัดแย้งไม่เคยจางหายไปจากสังคมไทย และดูเหมือนว่าความขัดแย้งจะดำรงอยู่อีกนาน
วันนี้ เราเกลียดชังและด่าทอกันด้วยเรื่องจุดยืนทางการเมือง กระทั่งกลายเป็นเครื่องมือของคู่แย่งชิงอำนาจ “ควายแดง” และ “สลิ่ม” เป็นคำที่ถูกหยิบยกมาใช้ในการกล่าวหากันและกันของประชาชนทั้งสองฝ่าย ในความหมายที่น่ารังเกียจน่าชิงชังชั่วร้ายโง่และแสนทราม ดูถูกเหยียดหยามและบูลลี่กันในโซเชียล ต่างมองกันว่าอีกฝ่ายเป็นตัวถ่วงที่ทำลายชาติบ้านเมือง เหมือนยึดถือความดี ความถูกต้อง และความจริงกันคนละชุด
ต่างฝ่ายต่างมองว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก และอีกฝ่ายเป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างไม่น่าให้อภัย และต่างก็หมกมุ่นอยู่ในฝักฝ่ายของตัวเองที่เชื่อเหมือนกันและคิดเหมือนกัน รับข่าวสารเพียงด้านเดียว ยิ่งอยู่ในโลกโซเชียลมีเดียก็ยิ่งถูกควบคุมด้วยอัลกอริทึ่มที่ช่วยจัดข้อมูลชุดความเชื่อที่สอดคล้องกับความคิดของเราเพื่อนำมาป้อนสนองตอบความพึงพอใจสอดคล้องกับพฤติกรรมและรสนิยมของเรา เหมือนกับให้เรามองเห็นแต่โลกในด้านที่พึงพอใจ
ความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอยู่แล้ว อัลกอริทึ่มยิ่งจะจัดเราไปอยู่ด้วยกัน รับข้อมูลแบบเดียวกันเชื่อแบบเดียวกัน ได้ยินแต่เสียงสะท้อนกลับของตัวเอง และมองคนที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามว่า มีข้อมูลและความคิดที่ผิดเป็นคนเลว เราทำสงครามแบบไม่ต้องเผชิญหน้ากันผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนผ่านจอคอมพิวเตอร์ผ่านแท็บเลต ด่าทอหยามเหยียดกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความเกลียดชังราวกับเผชิญหน้ากับอริราชศัตรู จนเราแทบจะร้องเพลงชาติไทยที่ว่า ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยไม่ได้เสียแล้ว
วันนี้ โซเชียลมีเดียที่เป็นสมรภูมิสู้รบของคนในชาติ เป็นพื้นที่กระจายทั้งทฤษฎีสมคบคิด ข่าวปลอมที่สร้างความเสียหาย แตกแยก สร้างเข้าใจผิดทั้งในทางสังคมและการเมือง และเต็มไปด้วยทัศนคติที่คับแคบหมกมุ่นที่สุมความคิดมาจากการรับข้อมูลด้านเดียว
เพียงแต่ยังโชคดีที่เราไม่ได้จับอาวุธฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันแบบเผ่าตุ๊ดซี่กับเผ่าฮูตูเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในรวันดา อาจเพราะเราเป็นคนไทยที่ถูกกลืนสลายเผ่าพันธุ์ไปนานแล้ว คนที่อยู่ข้างๆ เราบนรถเมล์ บนท้องถนน ในห้างสรรพสินค้า นั่งอยู่ข้างๆ ในร้านอาหารอาจมีความคิดทางการเมืองต่างกับเรา และเขาอาจเป็นคนด่าทอเราอยู่ในโลกโซเชียล
แต่แม้เราจะไม่ได้เห็นหน้าและฆ่ากันก็จริง แต่ในความเป็นจริงวันนี้ ถ้ามีแรงกระตุ้นเพียงเล็กน้อยจากฝั่งการเมืองที่เราศรัทธาเราก็พร้อมจะยกพวกมาฆ่ากันบนท้องถนนได้ เพื่อตอบสนองความเชื่อและความคิดทางการเมืองของเรา เราพร้อมตัดญาติขาดมิตรกับคนในครอบครัวหรือเพื่อน เพราะเราเชื่อไปแล้วว่า คนที่มองต่างกับเราเป็นพวกชั่วร้ายที่ไม่น่าให้อภัย มีบทเรียนให้เห็นถึงการปะทะกันหลายครั้งของมวลชนสองฟากความคิดในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา และเราจะสะใจที่มองเห็นฝ่ายตรงข้ามของเราถูกใช้ความรุนแรง
ผมได้ยินเพื่อนบางคนบอกผ่านมาว่า วันนี้เขาเลิกคบผมเพราะยอมรับความเห็นและจุดยืนทางการเมืองของผมไม่ได้ ทั้งที่เขาเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย
ภาพรวมของคนใต้อาจมีความคิดทางการเมืองต่างกับคนเหนือและอีสาน แต่ในคนใต้คนเหนือและอีสานด้วยกันก็มีความคิดทางการเมืองต่างกัน เราอาจใช้ชีวิตประจำวันร่วมกันได้ทำงานร่วมกันได้ แต่เราเป็นศัตรูกันในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่เราสามารถไม่เปิดเผยตัวจริงของเรา แต่ใช้อวตารมาถ่ายทอดความคิดของเราแทน เราก็ยิ่งจะปลดปล่อยจิตวิญญาณเบื้องลึกออกมาได้มากกว่าการเปิดเผยตัวตนจริงๆ
แน่นอน เหตุผลทั้งหมดมันเกิดจากเราอุทิศตัวตนเป็นผู้ถือหางทางการเมือง เชิดชูนักการเมืองที่เราเชื่อและศรัทธา เมื่อเราเลือกที่จะเชื่อฝ่ายไหน เรามักจะเชื่อแบบปักใจไม่มีข้อสงสัย เพราะเราต้องการอยู่ในกลุ่มของเราที่มีความเชื่อแบบเดียวกันก็ยิ่งไม่กล้าแตกแถว ไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่กล้าวิจารณ์พวกเดียวกัน อย่างเก่งเมื่อเห็นว่าฝ่ายเดียวกันทำผิดก็นิ่งเฉยเสีย
คนที่ได้ประโยชน์จากการแตกแยกทางความคิดแบบนี้ก็คือ นักการเมือง เพราะเขาใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งของประชาชนมาสร้างประโยชน์ เพื่อแบ่งแยกแล้วปกครอง เพราะแม้เรื่องไหนที่เขาทำผิดก็จะมีประชาชนฝั่งหนึ่งมายืนข้างและให้การสนับสนุนเสมอ แน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้ความเสียหายก็จะตกอยู่กับประเทศชาติและส่งผลต่อตัวเราเองในที่สุด
เช่น นักการเมืองจะสร้างเขื่อนก็จะมีทั้งคนที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วย แม้สุดท้ายแล้วผลลัพธ์การสร้างเขื่อนจะมีผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ แต่ประชาชนที่ค้านและสนับสนุนต่างได้รับข้อมูลจากความเชื่อของฝั่งตัวเองเพียงอย่างเดียว เมื่อมีคนส่วนหนึ่งสนับสนุนด้วยเสียงที่มากกว่า เขาก็อ้างเอาได้ว่าเป็นความต้องการของประชาชน ทั้งที่เขื่อนนั้นมีผลเสียแต่เป็นคนคัดค้านกลายเป็นเสียงข้างน้อย และนี่เป็นคำตอบว่าเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง ถ้าประชาชนมีข้อมูล ความรู้ไม่เท่าเทียมกัน
หรือบางครั้งเรายอมรับนโยบายที่เกิดขึ้นเพียงเพราะจุดยืนทางการเมืองไม่ใช่ด้วยข้อมูลและเหตุผล
วันนี้ พวกสลิ่มไม่ตั้งคำถามกับรัฐบาลประยุทธ์ พวกควายแดงไม่ตั้งคำถามกับรัฐบาลทักษิณในอดีต พวกสลิ่มเชื่อว่าสิ่งที่ประยุทธ์ทำนั้นถูกต้องหมด และที่ทักษิณทำนั้นผิดหมด เช่นเดียวกันพวกควายแดงก็เชื่อว่า ประยุทธ์ทำนั้นผิดหมด สิ่งที่ทักษิณทำนั้นถูกหมด แม้ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไรก็เชื่ออยู่ดีว่าทักษิณถูกกลั่นแกล้งและรังแก
วันนี้ ความขัดแย้งและแตกแยกกันมาเป็นสิบปีเพราะความเชื่อทางการเมืองต่างกัน ถูกนักการเมืองบางคนหยิบฉวยมาเป็นเครื่องมือในการล้มล้างระบอบการปกครอง ถูกนักวิชาการบางคนที่มีความเคียดแค้นถ่ายทอดความรู้ให้กับคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัย เพื่อเป้าหมายเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ และกำลังนำพาประเทศไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมหนักที่สุดตั้งแต่เรามีรัฐชาติมา
แน่นอน เมื่อเรามองโลกทั้งโลกระบอบปกครองแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ความเชื่อในอุดมการณ์ใดไม่ใช่เรื่องที่ผิด มีตัวอย่างของประเทศดีๆ ที่ปกครองในระบอบที่เราชื่นชอบจำนวนมาก เราก็ยิ่งเชื่อว่าอย่างนั้นมันดี ก็ยิ่งจะปลุกขวัญให้เราเชื่อว่าความคิดของเราถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับการถ่ายทอดจากนักวิชาการที่เราเชื่อว่ามีความรู้ น่าศรัทธา และน่าเชื่อถือ กระทั่งไม่ได้สนใจว่า เรากับเขานั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรในทางอัตลักษณ์ ธรรมเนียม จารีตประเพณี และวัฒนธรรม แต่ด้านหนึ่งเพราะคนเหล่านี้เชื่อว่าทุกอย่างต้องเป็นสากลนั่นเอง
กระทั่งนักการเมืองและนักวิชาการบางคนทำให้เชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยนั้นเป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ต้องเปลี่ยนไปเป็นการปกครองแบบสาธารณรัฐ และสามารถชักจูงให้คนไทยจำนวนไม่น้อยคล้อยตามความเชื่อนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเชื่อของเราเป็นเสรีภาพ แต่ในทุกรัฐก็ต้องมีกฎหมายปกป้องระบอบของรัฐและปกป้องประมุขของรัฐ และถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐให้เป็นไปตามความเชื่อของตัวเองก็ต้องต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ หากไม่ได้อำนาจรัฐมารัฐก็ต้องเอากฎหมายมาจัดการ และถ้าความเชื่อนั้นไปทำลายศรัทธาความเชื่อของบุคคลอื่น เขาก็มีสิทธิ์ที่จะต่อต้านเพื่อปกป้องความเชื่อของเขาเช่นเดียวกัน
ความคิดที่เกิดภายใต้ความแตกแยกของคนไทยแบบนี้เห็นได้ว่า ไม่ได้ก่อนให้เกิดประโยชน์กับชาติส่วนรวมและตัวเรา ถ้าเราเอาความรู้สึกในฐานะคนไทยด้วยกันมาจับ ไม่ใช่คนเป็นศัตรูกัน และเห็นได้ว่า เรากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของแต่ละฝ่าย เพื่อประโยชน์ในอำนาจของเขาไม่ใช่ของเรา
มีคนอาจถามว่า ผู้เขียนเองก็มีฝักฝ่ายทางการเมือง กระทั่งมีคดีความทางการเมือง ซึ่งผมก็ยอมรับ แต่ผมพยายามมองการเมือง และตัดสินทางการเมืองจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของแต่ละบุคคลแทนการยึดติดที่ตัวบุคคล ผมมองว่า รัฐบาลทักษิณใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ผมมองว่า รัฐบาลประยุทธ์ก็เป็นพวกอำนาจนิยมที่เห็นแก่พวกพ้องไม่ต่างกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่า สิ่งที่ผมคิดนั้นผิดหรือถูก แต่ผมว่า น่าจะดีกว่าการมองว่าประยุทธ์ดี ทักษิณชั่ว ทักษิณดี ประยุทธ์ชั่วแบบที่คนไทยแบ่งฝ่ายมองกัน เพราะสุดท้ายแล้วเราก็กลายเป็นเครื่องมือของทักษิณและประยุทธ์ วันนี้ทักษิณอาจจะห่างออกไปแล้ว แต่เราก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นเป็นธนาธรอะไรแบบนี้ แต่ยังมองแต่ละฝ่ายแบบชั่วดีขาวดำเหมือนเดิม
ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ไม่ว่าเราจะถูกพัดพาชะตากรรมไปสู่ระบอบไหน แต่การแตกแยกกันแบบมึงชั่วกูดีแบบนี้จะนำชาติเราไปรอดจริงหรือ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan