การเมืองด้อยพัฒนา ไร้หลักการ ขาดระบบอย่างบ้านเรานั้น อะไรที่ดูแล้วเป็นความพิลึกกึกกือในสายตาอารยชนนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งมีเนติบริกรดูแลด้านกฎหมายต่างๆ จึงมี “นิติประเพณี” และ “อภินิหาร” ทางกฎหมายตามมาด้วย
เป็นการเมืองแบบ Abnormal อยู่อย่างไทย ไม่มีใครเลียนแบบได้!
ตามหลักสูตรวิชาศรีธนญชัยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยทั่วโลกไม่มีสอน แต่นักกฎหมายรอบจัดระดับนิติบริกรกลับเชี่ยวชาญอย่างน่าพิศวง สามารถเขียนกฎหมายตีความได้ตามใจชอบของผู้มีอำนาจ พลิกแพลงอย่างไรก็ได้ ใช้ความหน้าด้านนำร่อง
เราจึงมีกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับพิสดาร 70 เปอร์เซ็นต์ของคนลงคะแนนเสียงให้ผ่านในการทำประชามติยอมรับว่า “ไม่ได้อ่าน” และน่าจะน้อยกว่าความเป็นจริง เพราะไม่มีเนื้อหาสาระน่าอ่าน แถมศึกษาไปแล้วไม่รู้ว่าจะโดนฉีกทิ้งอีกเมื่อไหร่
“นักรัฐประหารแล้วรวย” อยู่คู่ฟ้าเมืองไทย มีบ่อยพร้อมกับการฉีกรัฐธรรมนูญ
หลังรัฐประหารครั้งล่าสุด สั่งให้นักแต่งรัฐธรรมนูญมืออาชีพ เขียนบทบัญญัติว่า “ให้กลุ่มคน 250 คนที่ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามานั้น เป็น ส.ว.และมีอำนาจเลือกคนที่ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้” แบบนี้มีที่ไหนในโลก
มีสภาวะไร้มาตรฐาน เช่นให้ตีความด้วยว่า คนเป็น ส.ส.ต้องได้คะแนนเสียงในปาร์ตี้ลิสต์ 7 หมื่นเสียง แต่ถ้าจะมาเป็นฝ่ายรัฐบาล มี 3 หมื่นก็พอ อย่างนี้ก็ทำกันได้
ล่าสุด ปรากฏการณ์ “คุณหญิงก้มกราบ” ได้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนได้จินตนาการ ทั้งมโนคาดเดาแบบเตลิดเปิดเปิง โหรประจำตัวนักรัฐประหารก็ออกมาส่งเสียงเจื้อยแจ้วอีกรอบว่าบ้านเมืองจะเกิดเหตุอย่างนั้นอย่างนี้
ดีที่ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้ใส่ใจเก็บสถิติว่าที่ผ่านมาได้ทายแม่นกี่ครั้ง แต่ละครั้งแม่นหรือใกล้เคียงกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังมีลูกสำทับขาประจำ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
ภาพ “คุณหญิงก้มกราบ” ทำเอานักรัฐศาสตร์พลิกตำราไม่ทัน ค้นหาสัญญาณเร้นลับเพื่อหาความเข้าใจในความหมายว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีเหตุต้องเปลี่ยนแปลงทิศทางการเมือง หรือเปลี่ยนตัวผู้นำประเทศ ยุบสภาฯ หรืออะไรที่มากกว่านั้น
มีทั้งพวกเดาสุ่ม โยนหินถามทางว่า ภาพที่เห็นนั้นจะนำไปสู่การหยุดนิ่งในความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มก้าวล่วงสถาบันหรือไม่ หรือจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐบาล การปรองดองสมานฉันท์หรือไม่
เมื่อ “คุณหญิงก้มกราบ” ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว เพียงแสดงให้เห็นความเชื่อมั่นว่า “ครอบครัวดิฉันยังอยู่ได้” แล้ว ย่อมสะท้อนให้เห็นความแกร่งที่ถูกฉาบทาไว้ภายใต้การแสดงออกของความนอบน้อมถ่อมตน การเจียมเนื้อเจียมตัว
ภาพที่เห็นทำให้เกิดการทึกทักไปว่า “ท่านเหลี่ยม” อดีตหัวหน้าครอบครัวมีโอกาสได้รับการพระราชทานอภัยโทษ กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้ คดีความ โทษจำคุกที่ค้างอยู่เป็นอันต้องถูกยกเลิก แม้จะยังไม่เกิด ก็ยังทำให้เกิดคำถามมากมาย
“เป็นไปได้หรือ?” ก็มีคำตอบง่ายๆ ว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย
ยิ่งมีการโยนหินถามไปอีกก้อนว่า “ท่านทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯ เพื่อใช้ความสามารถในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ของบ้านเมือง ยุติความขัดแย้ง” ประเด็นนี้ทำให้ชาวบ้านที่ยังช็อกเรื่อง “ทักษิณกลับ” แทบล้มตึง ยอมทำใจไม่ได้
“อะไรมันจะขนาดนั้น?” มีคำถามอีก แต่ก็ยังมีคำยืนยัน บนฐานอะไรก็ไม่รู้ว่า “อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย” ก็ทำให้คนฟังพยักหน้าหงึกหงัก เพราะเหตุพิสดาร พิลึกพิลั่นมหัศจรรย์พันลึก ก็ได้เกิดขึ้นให้เห็นแล้วหลายครั้ง
โหรประจำคณะนักรัฐประหารยังอ้อแอ้อีกว่าเดือนตุลาคมนี้แหละ น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลง ถึงขั้นอาจมี “รัฐบาลแห่งชาติ” ภายในปีนี้
นี่ก็เป็นวิชาอะไรก็ไม่รู้ มหาวิทยาลัยในโลกไม่มีสอนไว้ด้วย!
มีนักสังเกตการณ์สะกิดให้เห็นสัญญาณการปรองดองระหว่างผู้กุมอำนาจรัฐสมาชิกครอบครัว “คุณหญิงก้มกราบ” เช่นความพิสดารในคดีลูกชายสุดที่รัก กรณีเช็ค ซึ่งอัยการมีความมุทิตาการุณย์อย่างน่าพิศวง ด้วยการไม่ยื่นอุทธรณ์คดี
และพรรคของนายท่านก็ไม่แตะต้องเรื่อง “นาฬิกาลุง” สักแอะเดียว ในศึกน้ำลายอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงเป็นสัญญาณให้เห็นว่ามีการ “ยั้งดาบ ยั้งมือไว้ไมตรี”
การอภิปรายเรื่องรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา พรรคของนายใหญ่ถูกมองว่า “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” มีแต่ง้าง ออกอาการเก้ๆ กังๆ ทำให้น่าสงสัยเหมือนครั้งก่อนๆ
ดังนั้นข่าว “นายใหญ่” จะกลับมาเป็นเรื่องช็อก เรื่องจะเป็นนายกฯ มีรัฐบาลแห่งชาติ ยิ่งเป็นดับเบิลช็อก เรื่องพรรค์นี้หนังอินเดียยังไม่กล้าเขียนพล็อต
แต่เมืองไทยทำได้ พิลึกยิ่งกว่านี้ก็ได้เกิดให้เป็นที่ประจักษ์ชัดด้วย!
ดังนั้นจากนี้ไป จะมีความเกร็งในภาคการเมือง บางพวกรอดูสัญญาณให้แจ่มชัดกว่านี้ ก่อนจะปรับตัว ปรับท่าทีจุดยืนเพื่อความอยู่รอด ทำตัวเป็นพวกอยู่เป็น โอกาสที่กลุ่มพรรคนายใหญ่มารวมตัวกันรอบใหม่ จึงเป็นไปได้ เพราะเนื้อเดียวกัน
ถ้าสิ่งที่คาดเดาแบบพิลึกพิลั่นมีเค้าความจริงชัด ย่อมต้องมีความเคลื่อนไหวในกลุ่มที่รับไม่ได้กับสภาวะยอมจำนนที่ว่า “กรุงศรีอยุธยาสิ้นคนดีแล้ว” รวมทั้งกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย อนาคตของประเทศไทยจะอยู่แบบที่คาดการณ์ล่วงหน้าอะไรไม่ได้
ถ้าเป็นจริง จะมีคำถามว่า “แล้วคณะ 3 ลุง” จะไปไหน ลงเอยในรูปแบบที่ลาออกแล้วอยู่ในประเทศได้ หรือได้รับมอบหมายภาระหน้าที่ใหม่ เปิดตัวได้น้อย
อย่าเพิ่งมโนไปไกล ต้องดูก่อนว่าพวกลุงจะยอมลงหรือจะสู้เพื่ออยู่ต่อ?!