แค่ 2-3 ชั่วโมงหลังท่านผู้พิพากษาศาลสูงกินสเบิร์ก ได้ถึงแก่อสัญกรรมในเย็นวันศุกร์ที่ 18 กันยา; มิตช์ แมคคอนเนลล์-ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศว่า วุฒิสภาจะรีบพิจารณาเพื่อหาผู้พิพากษาคนใหม่มาแทนกินสเบิร์กอย่างเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เก้าอี้ในองค์คณะศาลสูงจะว่างลงนาน เพื่องานพิจารณาคดีในศาลสูงจะได้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
เรียกว่า ร่างไร้วิญญาณของท่านกินสเบิร์กยังอุ่นๆ อยู่เลย นับเป็นการไม่ให้เกียรติเคารพต่อตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการเพียงตำแหน่งเดียวที่มีเกียรติสูงสุด เพราะเป็นตำแหน่งที่ไม่มีการครบวาระคือ อยู่ในสถานะของการเทิดทูนเคารพที่ต้องมีทั้งบารมี และได้รับความเคารพรักจากประชาชนอเมริกัน โดยอยู่เหนือการเมือง (จะไม่ไปลงคะแนนเลือกผู้สมัครเลือกตั้งคนใดทั้งสิ้น)
ทรัมป์รีบออกมารับลูกจากท่านผู้นำแมคคอนเนลล์ทันที โดยประกาศพร้อมจะเสนอชื่อผู้สมควรเข้ารับตำแหน่งแทนกินสเบิร์ก ซึ่งในวันเสาร์นี้เขาจะเปิดชื่อที่จะเสนอให้แก่กรรมาธิการยุติธรรมของวุฒิสภา
ท่ามกลางความงงงันของสังคมส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ว่าเหตุการณ์รีบเสนอชื่อนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ก่อนหน้าวันลงคะแนนเลือกตั้งถึงเกือบ 300 วัน (9 เดือนเต็ม) ท่านผู้พิพากษาศาลสูงสุด Scalia ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างไม่คาดคิด (ท่านไม่ตื่นขึ้นไปล่าสัตว์ตอนเช้า ทั้งๆ ที่ตอนค่ำก็ยังสนุกสนานกับทีมล่าสัตว์) และหลังพิธีศพยิ่งใหญ่ได้สิ้นสุดลง ปธน.โอบามาได้เสนอชื่อผู้พิพากษาที่มีคุณสมบัติพร้อมคือ Merrick Garland เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา
ครั้งนั้น ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาก็คือ นายมิตช์ แมคคอนเนลล์ คนเดียวกันนี้แหละ; ได้ออกมาประกาศว่าวุฒิสภาจะไม่ขอเปิดรับชื่อที่ปธน.โอบามาเสนอ คือ จะไม่เปิดการพิจารณาผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ว่างลง
โดยอ้างอย่างข้างๆ คูๆ ว่า เป็นเพราะกำลังอยู่ในปีที่จะเลือกตั้งปธน.คนใหม่ จึงต้องให้เกียรติต่อปธน.คนใหม่ที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในเดือนพฤศจิกายน...ให้เป็นผู้นำเสนอชื่อคนที่จะเข้ามารับตำแหน่งแทน Scalia
ส.ว.ตัวเอ้ๆ ของรีพับลิกัน ทั้งที่อาวุโสและเสียงดังอย่างลินซีย์ แกรมม์ แห่งรัฐเซาท์แคโรไลนา ถึงกับประกาศให้จารึกไว้ในวุฒิสภาว่า ในช่วงปีสุดท้ายของท่านปธน.คนใหม่ (คือในปี 2020) ถ้าเกิดมีตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงว่างลง เขาก็จะไม่พิจารณาชื่อที่ปธน.จะเสนอเข้ามา เพราะเป็นปีเลือกตั้ง
ได้มีการยกตัวอย่างสมัยของปธน.ลินคอล์น และ FDR ซึ่งในปีสุดท้าย-ก็สละสิทธิ์ไม่เสนอชื่อคนที่จะมาแทน เพื่อให้เกียรติต่อปธน.คนใหม่ (ที่น่าจะรู้ผลการเลือกตั้งปธน.ทันทีในช่วงวันลงคะแนนช่วงต้นพฤศจิกายน)
แต่พอมาเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ ส.ว.ลินซีย์ แกรมม์ ก็กลับกลืนน้ำลายตัวเอง และเอาสีข้างเข้าถู โดยยกเอารัฐธรรมนูญมาอ้างว่า ในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ปธน.เป็นผู้เสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูง โดยไม่ได้ห้ามเสนอชื่อเมื่อใกล้วันลงคะแนน
ขณะนี้มี ส.ว.หญิงสองคน (ของพรรครีพับลิกัน) ที่ได้ออกมาประกาศว่าจะไม่ขอร่วมพิจารณาชื่อที่จะเสนอเข้ามา เพื่อให้เกียรติแก่ปธน.คนใหม่ เพราะขณะนี้เหลือเวลาแค่ไม่ถึง 46 วันก็จะลงคะแนนเลือกปธน.แล้ว!!
แต่ผู้นำแมคคอนเนลล์จะยังเดินหน้าต่อ เพราะแน่ใจว่าเสียงในวุฒิสภาเป็นเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกัน (53 ต่อ 47)
ถึงหายไป 2 เสียง เขาก็ยังมี 51 เสียง-ก็ชนะอยู่ดี และถ้าเกิดต้องเสียอีก 1 เสียง ทำให้เสียงเท่ากัน 50/50 ทางรีพับลิกันก็ยังจะได้ 1 เสียงจากรองปธน.เพนซ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานวุฒิสภา (และปกติจะไม่ค่อยต้องลงคะแนน นอกจากกรณีคับขันจริงๆ)
องค์คณะของศาลสูงสุดมี 9 ท่าน โดยมี 5 คนที่ได้รับเสนอชื่อช่วงปธน.ของพรรครีพับลิกัน และมักลงคะแนนเป็น Block ไปทางอนุรักษนิยมขวาจัด ขณะที่ 4 เสียง (รวมทั้งกินสเบิร์ก) ที่เข้ามาจากการเสนอชื่อของปธน.จากเดโมแครต
เมื่อกินสเบิร์กถึงแก่อสัญกรรม ก็จะเหลือองค์คณะแค่ 8 ท่าน และเหลือผู้พิพากษาที่ค่อนข้างเสรีแค่ 3 ท่าน กลายเป็นเสียงข้างน้อย
และกำลังมีเรื่องที่รีพับลิกันพยายามยื่นให้ศาลสูงสุดพิจารณาตีความว่า กฎหมาย Obamacare ที่ดูแลสุขภาพทั่วหน้าเป็นโมฆะ เพื่อล้มกฎหมายฉบับนี้
ดังนั้น แม้ไม่มีผู้พิพากษาคนใหม่เข้ามาแทนกินสเบิร์ก คะแนนฝ่ายอนุรักษนิยมก็ชนะขาดลอยอยู่แล้ว
แต่แมคคอนเนลล์และทรัมป์ต้องการให้แน่ใจว่า จะได้ผู้พิพากษาที่อนุรักษ์จัดเข้ามาอีกหนึ่งคน เพื่อการตีความกฎหมายจะได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อรีพับลิกันไปอีกยาวนาน
และในระยะใกล้ๆ นี้ คือ การเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายนนี้ ถ้าคะแนนสูสีระหว่างทรัมป์และไบเดน เรื่องจะไปจบที่ศาลสูงสุดนี้ ซึ่งทรัมป์ได้ออกมาแย้มแล้วว่า จะยื่นเรื่องให้ศาลสูงตัดสินว่าการลงคะแนนด้วยไปรษณีย์เป็นโมฆะ (ทั้งๆ ที่เดโมแครตสนับสนุนให้ลงคะแนนด้วยไปรษณีย์ เพื่อไม่ให้ประชาชนไปแออัดที่คูหาเลือกตั้ง-อันจะแพร่เชื้อโควิดได้ง่าย)
การสับปลับของ ส.ว.รีพับลิกันครั้งนี้ เห็นชัดว่า ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ มีเรื่องการหลอกลวงประชาชนอย่างโจ๋งครึ่ม ช่างไม่ต่างจากบ้านเรา หรือประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาที่อื่นๆ เช่นกัน